เช้าวันนี้เมื่อ 2 เดือนก่อน คือ จุดสะดุดหยุดลงของกระบวนการประชาธิปไตยในเมียนมา หลังจากกองทัพเมียนมา ที่นำโดย พล.อ.อาวุโส มิน อ่อง หล่าย (Min Aung Hlaing) เข้ายึดอำนาจรัฐบาลประชาธิปไตยที่มาจากการเลือกตั้ง ของพรรคสันนิบาติแห่งชาติเพื่อประชาธิปไตย (NLD) ภายใน้การนำของ อองซาน ซูจี (Aung San Suu Kyi) มุขมนตรีแห่งรัฐ
ผ่านมาแล้ว 2 เดือน เกิดพลวัตการเปลี่ยนผ่านในเมียนมา อย่างผันผวนในรอบหลายปี ทั้งสถานการณ์ โครงสร้าง และอำนาจทางการเมือง ตลอดจนความสูญเสีย ของผู้ประท้วงต่อต้านการรัฐประหารในครั้งนี้ The MATTER ขอพาคุณย้อนกลับไปทบทวนเสรีภาพ ที่ถูกพรากไปจากเมียนมา กับหยาดน้ำตา และหยดเลือดของประชาชนตลอด 60 วันที่ผ่านมา
เหตุการณ์การรัฐประหารในเมียนมา เริ่มขึ้นเมื่อช่วงเช้าของวันที่ 1 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2564 หลังกองทัพเมียนมา เข้ายึดอำนาจรัฐบาลพลเรือนที่มาจากการเลือกตั้ง โดยกองทัพเมียนมา ภายใต้การนำของ พล.อ.อาวุโส มิน อ่อง หล่าย ได้เข้าจับกุม อองซาน ซูจี มุขมนตรีแห่งรัฐ ตลอดจน วิน มินต์ (Win Myint) ประธานาธิบดีเมียนมา และผู้นำระดับสูงจากพรรคสันนิบาติแห่งชาติเพื่อประชาธิปไตย โดยกล่าวหาว่า พรรคสันนิบาติแห่งชาติเพื่อประชาธิปไตย โกงการเลือกตั้ง รวมถึงมีการทุจริตในการบริหารงาน ก่อนจะแต่งตั้ง พล.อ.มินต์ ส่วย (Myint Swe) ที่มีความสนิทสนมกับกองทัพเมียนมา ขึ้นเป็นรักษาการประธานาธิบดีเมียนมาแทน
ในวันเดียวกัน กองทัพเมียนมาได้ประกาศสถานการณ์ฉุกเฉิน เป็นเวลา 1 ปี พร้อมระบุว่า จะมีการจัดการเลือกตั้งใหม่ เพื่ออ้างความชอบธรรมต่อการทำรัฐประหารในครั้งนี้ทันที อีกทั้งยังมีการตัดสัญญาณอินเทอร์เน็ต และโทรศัพท์เคลื่อนที่ ในหลายพื้นที่สำคัญของเมียนมา รวมถึงในกรุงเนปิดอว์ ขณะที่มีชาวเมียนมาในไทย นัดรวมตัวประท้วงหน้าสถานเอกอัครราชทูตเมียนมาประจำประเทศไทย ก่อนที่จะถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจไทยสลายการชุมนุม
ปฏิกิริยาของผู้นำทั่วโลก ต่างออกมาแสดงความห่วงใย ต่อสถานการณ์ประชาธิปไตยและสิทธิมนุษยชน หลังการทำรัฐประหารในเมียนมาทันที โจ ไบเดน (Joe Biden) ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ออกแถลงการณ์แสดงความเป็นห่วง และเรียกร้องให้กองทัพเมียนมาปล่อยตัวผู้นำรัฐบาลพลเรือน ตลอดจนนักกิจกรรมต่อต้านการรัฐประหารดังกล่าว ตามมาด้วยแถลงการณ์ของประเทศต่างๆ เช่น ประเทศในเครือสหภาพยุโรป ออสเตรเลีย และแคนาดา
2 กุมภาพันธ์ วันรุ่งขึ้นหลังการรัฐประหาร ชาวเมียนมาเริ่มประกาศการต่อต้านการยึดอำนาจทันที ขบวนการประชาชนอารยะขัดขืน ประกาศลุกขึ้นต่อต้านการรัฐประหาร ในวันรุ่งขึ้น เมื่อ 3 กุมภาพันธ์ แพทย์และเจ้าหน้าที่สาธารณสุขในโรงพยาบาลกว่า 70 แห่ง ต่างนัดหยุดงานประท้วงการยึดอำนาจ การประกาศในครั้งนี้ กลายเป็นจุดเริ่มต้นของขบวนการอารยะขัดขืนของผู้ประท้วงในเมียนมา
ในวันที่ 4 กุมภาพันธ์ เป็นครั้งแรก ที่ประชาชนชาวเมียนมาเริ่มลงถนน เพื่อประท้วงต่อต้านการรัฐประหารจากกองทัพ ในเมืองมัณฑะเลย์ ย่างกุ้ง ฯลฯ พร้อมเรียกร้องให้กองทัพ คืนอำนาจให้แก่รัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง เริ่มมีการแสดงออกเชิงสัญลักษณ์ต่างๆ อาทิ การทุบหม้อ กะทะ และเครื่องครัวต่างๆ มีรายงานว่ามีผู้ชุมนุมอย่างน้อย 3 รายถูกควบคุมตัวในวันนั้น ทั้งนี้ คณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ (UNSC) ออกแถลงการณ์เรียกร้องให้มีการปล่อยตัว อองซาน ซูจี แต่ยังคงสงวนท่าที ไม่ประณามการทำรัฐประหาร อย่างไรก็ดี เริ่มมีกลุ่มวิชาชีพต่างๆ เข้าร่วมขบวนการอารยะขัดขืน อาทิ ครูอาจารย์
เพียงไม่กี่วันต่อมา ในวันที่ 5 กุมภาพันธ์ กองทัพเมียนมาได้ตั้งข้อหาแรกต่อ อองซาน ซูจี จากการนำเข้าอุปกรณ์วิทยุสื่อสารจำนวน 10 เครื่องอย่างผิดกฎหมาย ปัจจุบันนี้ อองซาน ซูจี ถูกตั้งข้อหาจากกองทัพเมียนมาไปแล้ว 4 ข้อหา โดยหนึ่งในข้อหานั้น เป็นข้อหาจากกฎหายตั้งแต่ยุคที่เมียนมา ยังคงตกเป็นอาณานิคมของอังกฤษ คือ การปลุกปั่นให้ประชาชนเกิดความหวาดกลัว
กระแสการวิพากษ์วิจารณ์กองทัพเมียนมา ถูกส่งต่อไปทั่วทั้งโลกโซเชียลมีเดีย ในวันที่ 6 กุมภาพันธ์ กองทัพเมียมาตัดสินใจจำกัดการเข้าถึง Twitter แต่การห้ามการเข้าถึงอินเตอร์เน็ต และช่องทางโซเชียลมีเดีย ไม่ได้ทำให้การต่อต้านลดน้อยลง การชุมนุมที่ใหญ่ที่สุดในรอบ 7 ปีของเมียนมา เกิดขึ้นในวันที่ 7 กุมภาพันธ์ โดยมีพระสงฆ์เข้าร่วมขับไล่กองทัพเมียนมา วันรุ่งขึ้น 8 กุมภาพันธ์ พล.อ.อาวุโส มิน อ่อง หล่าย ปรากฏตัวบนโทรทัศน์ครั้งแรก โดยมีการกล่าวถึงสาเหตุการทำรัฐประหาร และระบุว่าจะจัดให้มีการเลือกตั้งใหม่ภายในเวลา 1 ปี แต่การแถลงในครั้งนี้ ไม่ได้ช่วยให้อะไรดีขึ้น
9 กุมภาพันธ์ หลังจากมีการชุมนุมยาวนานมาเกือบสัปดาห์ สหรัฐฯ และนิวซีแลนด์ประกาศคว่ำบาตรนายพลเมียนมาหลายราย อีกทั้งเรียกร้องให้กองทัพเมียนมายุติการใช้ความรุนแรง มิเช่นนั้น จะมีมาตรการการคว่ำบาตรทางเศรษฐกิจเพิ่มเติม ในทางกลับกัน กองทัพเมียนมากลับประกาศ การอนุญาตให้เจ้าหน้าที่ทหารและตำรวจ สามารถบุกค้นบ้านประชาชนได้ โดยไม่ต้องขออนุญาตจากศาล ทั้งนี้ การประท้วงของเมียนมายังคงดำเนินต่อไป
10 กุมภาพันธ์ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ให้สัมภาษณ์ต่อกรณีการรับจดหมายจาก พล.อ.อาวุโส มิน อ่อง หล่าย ว่า “พล.อ.มิน อ่อง หล่าย ส่งจดหมายถึงผมในฐานะรัฐมนตรีฯ กลาโหม ขอให้ไทยสนับสนุนการเป็นประชาธิปไตยของเมียนมา ซึ่งผมสนับสนุนอยู่แล้ว” สร้างกระแสวิพากษ์วิจารณ์ ในท่าทีของรัฐบาลไทย ต่อการทำรัฐประหารในเมียนมา อย่างเป็นวงกว้าง
19 กุมภาพันธ์ มีรายงานข่าวผู้ประท้วงเสียชีวิตรายแรก จากกระสุนปืนของเจ้าหน้าที่ การประท้วงลากยาวมาเรื่อยๆ ก่อนจะเริ่มมีประกาศการนัดหยุดงานทั่วประเทศ ในวันที่ 22 กุมภาพันธ์ ภายใต้ชื่อการประท้วงว่า ‘การก่อการกำเริบ 22222’ จนมีรายงานผู้เสียชีวิตเพิ่มเติมอีก 18 ราย และมีผู้ถูกจับกุมไปแล้วอย่างน้อยประมาณ 600 ราย
ขณะที่เกิดความวุ่นวายในเมียนมาอย่างโกลาหล มีรายงานข่าวในไทย เมื่อวันที่ 24 กุมภาพันธ์ว่า พล.อ.ประยุทธ์ เปิดประเทศต้อนรับ วันนา หม่อง ลวิน (Wunna Maung Lwin) รัฐมนตรีกระทรวงการต่างประเทศของเมียนมา ซึ่งได้รับการแต่งตั้งจากกองทัพเมียนมา ภายหลังการทำรัฐประหาร ที่ท่าอากาศยานทหาร กองบิน 6 (บน.6) ดอนเมือง เพื่อหารือต่อสถานการณ์ในเมียนมา ในขณะที่วันที่ 28 กุมภาพันธ์ อันโตนิโอ กูแตร์เรส (Antonio Guterres) เลขาธิการสหประชาชาติ ได้ออกแถลงการณ์กล่าวถึงการทำรัฐประหารในเมียนมา และการปราบปรามประชาชนเมียนมา ว่าเป็นเรื่องที่ประชาคมโลกรับไม่ได้
1 มีนาคม อองซาน ซูจี ปรากฏตัวขึ้นเป็นครั้งแรกบนชั้นศาล จากข้อหาที่เธอถูกกองทัพเมียนมาตั้ง หลังจากที่เธอถูกควบคุมตัวมานานกว่า 1 เดือน อองซาน ซูจี ยังคงเรียกร้องผ่านตัวแทนของเธอ ขอไม่ให้ประชาชนชาวเมียนมายอมแพ้ ต่อการทำรัฐประหารของกองทัพในครั้งนี้ 2 มีนาคม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของอาเซียน เรียกร้องให้เมียนมาหาทางออก ผ่านการพูดคุยเจรจา และอดทนอดกลั้นต่อการใช้ความรุนแรง อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ มาเลเซีย และสิงคโปร์ เรียกร้องให้กองทัพเมียนมาปล่อยตัว อองซาน ซูจี
3 มีนาคม เป็นวันที่ถูกสื่อหลายสำนักทั่วโลก เรียกว่าเป็น “วันนองเลือดที่สุด” ตั้งแต่มีการประท้วงเกิดขึ้นในเมียนมา มีรายงานผู้เสียชีวิตจากการปราบปรามของกองทัพเมียนมากว่า 38 ราย ในวันเดียว นอกจากนี้ มีผู้ประท้วงถูกจับกุมตัวเพิ่มมากขึ้นถึง 1,600 ราย ผู้แทนพิเศษติดตามสถานการณ์ในเมียนมาของสหประชาชาติ ออกแถลงการณ์แสดงความวิตกต่อสถานกาณ์การปราบปราบผู้ชุมนุมในเมียนมา และเรียกร้องให้เมียนมาหา “ทุกเครื่องมือที่สามารถใช้ได้ ซึ่งจำเป็นต่อการหยุดสถานการณ์ดังกล่าว”
หลังจากสงวนท่าทีร่วมเดือน 11 มีนาคม คณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ ออกแถลงการณ์ประณามการใช้ความรุนแรง ต่อผู้ประท้วงในเมียนมา และเรียกร้องให้เมียนมาเกิดกระบวนการเปลี่ยนผ่านสู่ระบอบประชาธิปไตยอีกครั้ง อีกทั้งมีการเรียกร้องให้กองทัพเมียนมา เคารพสิทธิมนุษยชน และหลักการพื้นฐานว่าด้วยเสรีภาพ ตลอดจนหลักนิติธรรม โดยมีการขอให้ดำเนินการฟื้นฟูสถานการณ์ในเมียนมา เพื่อผลประโยชน์สูงสุดของประชาชนในประเทศ
การประท้วงยังคงเดินหน้าต่อไปอย่างไม่ลดละ ท่ามกลางสถานการณ์ความตึงเครียดในทางการเมืองของเมียนมา ในวันที่ 18 มีนาคม สภาแห่งชาติชั่วคราว CRPH หรือรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งก่อนการรัฐประหาร ปลดล็อกกองกำลังชาติพันธุ์ ให้สามารถสู้รบกับกองทัพของเมียนมาได้โดยชอบตามกฎหมาย ทำให้เกิดการสู้รบระหว่างกลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ ต่อกองทัพเมียนมาได้โดยตรง
กลับมาเข้ามาที่สถานการณ์ในไทย ในวันที่ 23 มีนาคม มีรายงานพบกระสอบข้าวจำนวน 700 กระสอบ ตั้งอยู่ที่บริเวณชายแดน อำเภอสบเมย จังหวัดแม่ฮ่องสอน ซึ่งถูกสันนิษฐานว่า เป็นเสบียงที่ทางฝั่งไทยส่งไปให้กองทัพเมียนมา อย่างไรก็ดี พล.อ.ประยุทธ์ ออกมายอมรับในวันรุ่งขึ้นว่า กระสอบข้าวดังกล่าวเป็นของไทยจริง ก่อนจะพูดกับสื่อว่า “อย่าทำเรื่องไม่เป็นเรื่อง ให้เป็นเรื่องสิ”
24 มีนาคม กองทัพเมียนมายังคงปราบปรามผู้ชุมนุมต่อไป อย่างไรก็ดี ทหารเมียนมากลับบุกเข้าค้นบ้านต้องสงสัย บริเวณออง ปิน เล (Aung Pin Le) ของมัณฑะเลย์ ที่ไม่ได้อยู่ในพื้นที่การชุมนุม ก่อนที่จะมีการสังหารเด็กหญิงวัย 7 ขวบ ซึ่งนับได้ว่าเป็นเหยื่อจากความรุนแรงของกองทัพเมียนมา ที่มีอายุน้อยที่สุด การสังหารเด็กหญิงในครั้งนี้ ทำให้ชาวเมียนมาเริ่มใช้ ‘การประท้วงเงียบ’ ด้วยการปิดตัวเองออยู่ในบ้าน ไม่ออกไปทำกิจกรรมในเชิงธุรกิจหรือธุรกรรมใดๆ เพื่อลดความเสียหายและความรุนแรงที่อาจจะเกิดขึ้น ในทางกลับกัน มีการเสนอชื่อให้ขบวนการอารยะขัดขืนของเมียนมา ได้เข้าชิงรางวัลโนเบล สาขาสันติภาพ ประจำ ค.ศ.2022 จากกลุ่มนักวิชาการในนอร์เวย์ เพื่อยกย่องความเสียสละของผู้ประท้วงด้วย
ทิ้งห่างมาได้เพียงแค่ 3 วัน ในวันที่ 27 มีนาคม ซึ่งตรงกับวันกองทัพเมียนมา กองทัพเมียนมาได้เข้าปราบปราบผู้ชุมนุม จนมีผู้เสียชีวิตรวมกันภายในวันเดียวอย่างน้อย 114 ราย กลายเป็นวันที่มีชาวเมียนมาเสียชีวิต จากการใช้ความรุนแรงของเจ้าหน้าที่ ยิ่งกว่าวันที่ 3 มีนาคม หรือวันนองเลือดกว่าหลายเท่าตัว ทั้งนี้ มีรายงาน 8 ชาติที่ส่งตัวแทนไปร่วมงานวันกองทัพเมียนมา ซึ่งหนึ่งในนั้น คือ ประเทศไทย โดย พล.อ.ประยุทธ์ตอบคำถามกับสื่อว่า “สนับสนุนตรงไหน ผมยังไม่เข้าใจ คงไม่มีใครที่ไปสนับสนุน ให้มีการใช้ความรุนแรงกับประชาชนหรอกมั้ง”
หลังจากการปราบปรามอย่างหนัก มีการรายงานข่าวในวันที่ 28 มีนาคม จากบริเวณชายแดนเมียนมาและไทย ที่จังหวัดแม่ฮ่องสอนว่า มีการลี้ภัยของชาวกะเหรี่ยง จำนวนกว่า 3,000 ราย ที่ถูกโจมตีทางอากาศจากกองทัพเมียนมา เข้ามายังฝั่งไทย อย่างไรก็ดี มีภาพ วิดีโอ และรายงานข่าว จากสื่อหลายสำนัก ระบุว่าผู้ลี้ภัยถูกทางการไทยผลักดันให้กลับไปยังฝั่งเมียนมา ทั้งนี้ ในฝั่งภาครัฐ ทั้งนายกรัฐมนตรี กระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ทหารพราน ทพ.36 และหน่วยงานของจังหวัดแม่ฮ่องสอน ต่างออกมาปฏิเสธว่า พวกตนไม่ได้มีการผลักดันชาวกะเหรี่ยงกลับไปยังฝั่งเมียนมาแต่อย่างใด
ล่าสุด เมื่อคืนของวันที่ 31 มีนาคม สภาแห่งชาติชั่วคราว CRPH ได้ประกาศล้มรัฐธรรมนูญฉบับ ค.ศ.2008 ก่อนจะประกาศให้มีการใช้ กฎบัตรประชาธิปไตยแบบสหพันธรัฐ เพื่อจัดตั้งสหพันธรัฐ และเริ่มกระบวนการร่างรัฐธรรมนูญของเมียนมาฉบับใหม่ แทนที่ฉบับเดิมที่เคยถูกร่างจากกองทัพเมียนมา ซึ่งจะเป็นการจัดตั้งมีรัฐบาลแห่งชาติที่รวม สภาแห่งชาติชั่วคราว CRPH กับกลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ ในเมียนมาเข้าไว้ด้วยกัน เพื่อต่อต้านกองทัพเมียนมา ที่ยึดอำนาจของรัฐบาลประชาธิปไตยไป
สถานการณ์ในเมียนมายังคงไม่ผ่อนคลาย และมีทีท่าว่าจะรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ หลายประเทศต่างเรียกร้องให้กองทัพเมียนมายุติการใช้ความรุนแรงต่อประชาชน ในขณะที่หลายประเทศสงวนท่าที หรือกลับมีนโยบายสนับสนุนกองทัพเมียนมา ทั้งทางตรงและทางอ้อม ทั้งนี้ด้วยการสังหารประชาชนจำนวนมากตลอดระยะเวลา 2 เดือนที่ผ่านมา ทำให้ปัจจุบันนี้ มีสถิติผู้เสียชีวิตจากการประท้วงในเมียนมา รวมอย่างน้อยไม่ต่ำกว่า 500 ราย และยังผู้ถูกควบคุมตัวอีกอย่างน้อยกว่า 3,000 ราย ทั่วโลกยังคงต้องจับตาสถานการณ์ในเมียนมาต่อไปอย่างใกล้ชิด เพราะนี่อาจไม่ได้หมายถึงแค่กระบวนการเรียกร้องประชาธิปไตยในเมียนมา แต่มันอาจหมายรวมถึงปัญหาด้านมนุษยธรรม ในระดับนานาชาติก็เป็นได้ คุณสามารถอ่านท่าที และแถลงการณ์ของแต่ละประเทศ ต่อสถานการณ์ในเมียนมาเพิ่มเติมได้ทาง: https://thematter.co/…/foreign-defence-ministry…/139510
อ้างอิงจาก
https://www.bbc.com/news/world-asia-55882489
https://www.bloomberg.com/…/myanmar-s-suu-kyi-detained…
https://www.bangkokbiznews.com/news/detail/920306
https://news.thaipbs.or.th/content/300927
https://www.mmtimes.com/…/nay-pyi-taw-mandalay…
https://www.aljazeera.com/…/timeline-of-events-in…
https://www.theguardian.com/…/aung-san-suu-kyi-faces…
https://thethaiger.com/…/first-death-from-myanmar-coup…
https://www.bbc.com/news/world-asia-56235405
https://thematter.co/brief/136249/136249
https://thematter.co/brief/138930/138930
https://thematter.co/brief/136514/136514
https://thematter.co/brief/137111/137111
https://www.bnionline.net/…/crph-removes-all-ethnic…
https://www.pptvhd36.com/…/%E0%B8%95%E0%B9%88%E0…/144002
https://news.un.org/en/story/2021/03/1086962
https://www.prachachat.net/politics/news-635651
https://thematter.co/brief/138711/138711
https://edition.cnn.com/…/myanmar-protesters…/index.html
https://thematter.co/brief/139198/139198
https://thematter.co/brief/139389/139389
https://twitter.com/…/status/1376791820303179776/photo/1
#Brief #TheMATTER #whathappeninginmyanmar