สิ่งที่เคยทำได้ดี เริ่มไม่ใช่เรื่องที่อินเหมือนเดิม แม้ชีวิตไม่ได้หมดหวัง แต่ก็ขาดแรงผลักดันที่จะก้าวต่อ ไม่ได้สุขล้น แต่ก็ไม่ได้จมดิ่งกับความเศร้า—นี่คือหนึ่งในภาวะที่ผู้คนจำนวนไม่น้อยกำลังเผชิญในช่วงนี้ คือความอึนๆ เนือยๆ ที่ถูกเรียกว่า ‘Languishing’
.
บทความจาก The New York Times อธิบายว่า มีคนจำนวนไม่น้อยที่กำลังเผชิญกับภาวะ ‘Languishing’ ที่หมายถึง ภาวะที่ตัวเราไม่ได้ถูกแพทย์วินิจฉัยว่าซึมเศร้า ไม่ได้หมดหวัง แต่ขณะเดียวกัน เราก็ไม่ได้มีความสุข หรือมีแรงผลักดันให้ทำอะไรใหม่ๆ ต่อไปด้วย
.
Languishing (ที่ยังไม่มีคำแปลภาษาไทย) คือความรู้สึกของนิ่งเฉยและว่างเปล่า มันเหมือนกับว่า เรากำลังสับสนอยู่กับช่วงเวลาที่ยากลำบาก ที่น่าสนใจคือ มันอาจจะเป็นผลกระทบที่สำคัญจากการใช้ชีวิตในยุคไวรัสแพร่ระบาด เมื่อผู้คนต้องจัดการความเครียดของตัวเองอย่างต่อเนื่อง จนถึงจุดที่รับมือกับมันด้วยพลังที่มีอยู่ไม่ไหวอีกต่อไปแล้ว รวมถึงไม่สามารถฝืนสู้ต่อไปด้วยแรงที่มีอยู่เต็มที่ได้เป็นระยะเวลานานๆ จนสุดท้ายก็เหนื่อยล้าไปในที่สุด
.
คำว่า Languishing นี้ถูกคิดขึ้นมาโดยนักสังคมวิทยาชื่อ Corey Keyes จาก Emory University ในสหรัฐฯ โดยเขาได้ตั้งข้อสังเกตว่า ในสังคมทุกวันนี้ มีคนที่ไม่ได้ซึมเศร้าและไม่ได้มีความสุข แต่มีคนที่ติดอยู่ตรงกลางสองสิ่งนี้ด้วย
.
Keyes ได้เขียนในงานศึกษาของเขาว่า ในอีกสิบปีข้างหน้านี้ ผู้คนอาจจะไม่ได้เผชิญกับปัญหาสุขภาพจิตในรูปแบบเดิมๆ แล้ว เพราะจะมีภาวะแบบใหม่ที่เกิดขึ้นด้วย ตามสังคมที่เปลี่ยนแปลงไป ซึ่งเขาเชื่อว่าเจ้าภาวะ Languishing นี่แหละ ที่จะเป็นหนึ่งปัจจัยที่นำไปสู่ปัญหาด้านสุขภาพจิตใหม่ๆ ในอนาคตได้
.
นอกจากนี้ ยังมีงานวิจัยในอิตาลีที่พบว่า บุคลากรด้านสาธารณสุขที่เข้าข่ายมีภาวะ Languishing ในช่วงฤดูใบไม้ผลิของปีที่แล้ว จะมีแนวโน้มที่จะมีอาการ PTSD หรือ Post-Traumatic Stress Disorder (สภาวะป่วยทางจิตใจเมื่อเผชิญกับสถานการณ์ตึงเครียด) มากกว่าเพื่อนร่วมงานที่ไม่ได้มีภาวะ Languishing ราวๆ 3 เท่า
.
ส่วน Adam Grant ผู้เขียนบทความนี้ใน The New York Times เปรียบเทียบว่า ภาวะ Languishing นั้น ยืนอยู่ตรงกลางระหว่าง Depression (ภาวะซึมเศร้า) กับ Flourishing (ภาวะที่ความสุขเจริญงอกงาม) แม้ Languishing จะไม่ได้เข้าข่ายว่าเป็นภาวะด้านสุขภาพจิตที่เป็นอันตราย แต่มันก็สามารถส่งผลต่อภาพรวมของจิตใจเราในระยะยาวได้เหมือนกัน แต่ถึงอย่างนั้นภาวะที่ว่านี้ ก็ยังจำเป็นต้องได้รับการศึกษาต่อไป
.
คำถามคือ แล้วเราจะรับมือกับสิ่งนี้อย่างไรดี? บทความแนะนำว่า อาจจะเริ่มต้นด้วยการตั้งเป้าหมายเล็กๆ (small goal) ก่อน แล้วลองทำมันให้สำเร็จไปทีละอย่าง เพราะมันจะช่วยให้เรากลับมามีโฟกัสกับชีวิตได้มากขึ้น
.
อีกหนึ่งวิธีคือการกำหนด ‘Uninterrupted time’ หรือช่วงเวลาทำงานที่จะไม่มีใครมาขัดจังหวะเราขึ้นมา เพื่อให้เรากลับมามีโฟกัสกับสิ่งที่ทำตรงหน้ามากขึ้นนั่นเอง พร้อมๆ กับช่วยให้เราได้อยู่กับตัวเองมากขึ้นด้วย
.
แม้ว่าภาวะ Languishing ยังจำเป็นต้องได้รับการศึกษาเพิ่มเติม แต่การมีชื่อเรียกให้กับสิ่งนี้ก็สำคัญอยู่พอสมควร เพราะบางทีการอยู่ตรงกลางระหว่าง สุขและเศร้า จนไม่รู้สึกอะไรเลยกับชีวิตนั้น อาจจะเป็นสิ่งที่น่ายินดีเท่าไหร่นัก
.
.
อ้างอิงจาก