เพราะวัคซีนคือทางออกของปัญหาโรคระบาด ผลการศึกษาอังกฤษ เปิดเผยว่า ผู้ที่ได้รับวัคซีน COVID-19 ของแอสตร้าเซนเนก้า (AstraZeneca) หรือไฟเซอร์ (Pfizer) เพียง 1 โดส สามารถลดอัตราการแพร่เชื้อให้ผู้อื่นได้เกือบ 50%
การศึกษาของสาธารณสุขอังกฤษ (Public Health England) ระบุว่า ผู้ที่ติดเชื้อ COVID-19 หลังฉีดวัคซีนแอสตร้าเซเนก้า หรือไฟเซอร์ครบ 3 สัปดาห์ จะลดการแพร่เชื้อให้กับผู้อื่นได้ถึง 38 – 49% แม้เพิ่งรับวัคซีนเป็นเข็มแรก โดยภูมิต้านทานนี้จะเริ่มเห็นผลตั้งแต่หลังฉีด 14 วัน และระดับการป้องกันจะไม่แตกต่างกันตามช่วงวัยของผู้ฉีด
นอกจากนี้ ยังมีงานวิจัยระบุว่า การฉีดวัคซีนแอสตร้าเซนเนก้า หรือไฟเซอร์ เพียง 1 เข็ม ช่วยลดอัตราการติดเชื้อใหม่ได้ถึง 65% โดยจะลดอัตราการติดเชื้อแบบแสดงอาการลง 74% รวมถึงลดอัตราการติดเชื้อแบบไม่แสดงอาการลง 57% และหากได้รับวัคซีนเข็มที่ 2 จะลดอัตราการติดเชื้อแบบแสดงอาการลงถึง 70% ขณะที่การติดเชื้อแบบไม่แสดงอาการจะลดลง 90%
แมรี่ แรมเซย์ (Dr. Mary Ramsay) หัวหน้าฝ่ายฉีดวัคซีนของสาธารณสุขอังกฤษ กล่าวว่า วัคซีนมีส่วนสำคัญในการช่วยให้เรากลับมาใช้ชีวิตได้ตามปกติ เพราะมันไม่เพียงแต่ลดระดับความรุนแรงของอาการเจ็บป่วย และป้องกันการเสียชีวิต แต่มันยังลดโอกาสแพร่เชื้อไปยังผู้อื่น โดยเฉพาะการแพร่เชื้อในครัวเรือน
ขณะนี้วัคซีนของไฟเซอร์ แอสตร้าเซนเนก้า และโมเดอร์นาเป็นวัคซีนหลักที่ใช้ฉีดในสหราชอาณาจักร โดยนับตั้งแต่เริ่มฉีดวัคซีนในช่วงเดือนธันวาคม ค.ศ.2020 จนถึงปัจจุบัน มีผู้ใหญ่ในสหราชอาณาจักรกว่า 34 ล้านคนได้รับวัคซีนเข็มแรก ขณะที่มากกว่า 13 ล้านคน ได้รับวัคซีนครบโดสแล้ว
การติดเชื้อในครัวเรือนเป็นอีกหนึ่งสาเหตุหลักที่ทำให้การแพร่ระบาดกระจายไปในวงกว้าง ดังนั้นข้อสรุปที่ว่าวัคซีนแอสตร้าเซนเนก้า และไฟเซอร์สามารถช่วยยับยั้งปรากฎการณ์ดังกล่าวได้ ย่อมส่งผลให้ประเทศต่างๆ ที่ฉีดวัคซีนทั้งสองชนิดอย่างแพร่หลาย สามารถควบคุมสถานการณ์การระบาดได้ง่ายขึ้น
อ้างอิงจาก
https://www.reuters.com/…/uk-vaccination-studies-find…/
https://www.cnbc.com/…/coronavirus-single-dose-of…
https://www.nature.com/articles/d41586-020-00502-w