ท่ามกลางสถานการณ์ที่ยากลำบาก หนึ่งในคำถามที่ประชาชนชนอยากรู้มากที่สุด คงไม่พ้น “เมื่อไหร่จะได้วัคซีน” ในช่วงครึ่งปีที่ผ่านมา หลายประเทศทั่วโลกเริ่มระดมฉีดวัคซีนให้ประชาชน แต่ผลลัพธ์หลังฉีดในแต่ละพื้นที่กลับแตกต่างกันออกไป
บางประเทศฉีดแล้วคุมการระบาดได้อยู่หมัด ปลดล็อคมาตรการต่างๆ ขณะที่บางประเทศ ฉีดวัคซีนในจำนวนโดสเท่ากัน แต่ตัวเลขผู้ติดเชื้อยังพุ่งขึ้นอย่างต่อเนื่อง ตัวแปรสำคัญของความผกผันเหล่านี้คืออะไร ?
The MATTER จะมายกตัวอย่างสถานการณ์แพร่ระบาด หลังฉีดวัคซีนใน 3 ประเทศ ได้แก่ อิสราเอล สหรัฐฯ และชิลี เพื่อให้เห็นว่าเพราะอะไร ชนิดของวัคซีน และการเร่งฉีด จึงสำคัญต่อการหยุดยั้งการแพร่ระบาด COVID-19
ประเทศอิสราเอล เคยเป็นประเทศที่มียอดผู้ติดเชื้อสูงถึง 1 หมื่นรายต่อวันในช่วงเดือนมกราคม แต่ตัวเลขผู้ติดเชื้อกลับลดมาอยู่ในหลักร้อย ในช่วงเดือนเมษายน และลดลงมาเหลือหลักสิบในปลายเดือนเดียวกัน ความสำเร็จในการลดจำนวนผู้ติดเชื้อ ทำให้อิสราเอลได้รับการยกย่องว่าเป็นหนึ่งในประเทศที่คุม COVID-19 ได้ดีที่สุดในโลก ซึ่งเคล็ดลับที่ทำให้อิสราเอลมาถึงจุดนี้ไม่ใช่เพียงการขอความร่วมมือให้ประชาชนใส่หน้ากาก หรือห้ามออกจากบ้านเพียงอย่างเดียว แต่เป็นการระดมฉีดวัคซีนที่มีคุณภาพให้ประชาชน
อิสราเอลเริ่มปูพรมฉีดวัคซีนอย่างหนักในช่วงเดือนมกราคม วัคซีนตัวหลักที่อิสราเอลเลือกใช้คือชนิด mRNA ของบริษัทไฟเซอร์ ซึ่งมีผลวิจัยออกมาแล้วว่ามีประสิทธิภาพในการป้องกันการติดเชื้อแบบมีอาการได้ 95% และป้องกันความรุนแรงของโรคได้ 92% อีกทั้งยังป้องกันการส่งต่อโรคได้เกือบ 50% แม้ฉีดเพียงเข็มเดียว
หลังจากปูพรมฉีดเป็นเวลากว่า 3 เดือน ผลลัพธ์ในแง่บวกก็เริ่มแสดงให้เห็น ตัวเลขผู้ติดเชื้อรายวันลดลงมาเหลือ 70-80 คน ขณะที่ตัวเลขผู้เสียชีวิตอยู่ที่ 3-10 คนเท่านั้น ปัจจุบันอิสราเอลมีประชากรทั่วประเทศประมาณ 10 ล้านคน ซึ่งขณะนี้มีประชาชนประมาณ 60% ได้รับวัคซีนแล้วอย่างน้อยหนึ่งเข็ม ขณะที่ 56% ได้รับวันซีนครบโดสแล้ว
ประเทศต่อมาที่จะยกตัวอย่างถึงคือ สหรัฐอเมริกา อย่างที่ทุกคนรู้กันว่าสหรัฐฯ เป็นประเทศที่มีผู้ติดเชื้อมากที่สุดในโลก แต่ปัจจุบัน ศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคแห่งชาติสหรัฐฯ (CDC) ประกาศให้ประชาชนที่ฉีดวัคซีนครบโดส สามารถทำกิจกรรมกลางแจ้งได้โดยไม่ต้องสวมใส่หน้ากากอนามัย ซึ่งถือว่ามีความคืบหน้าขึ้นมาก สำหรับประเทศที่เคยเป็นจุดศูนย์กลางกลางแพร่ระบาดของโลก
ปฏิเสธไม่ได้ว่าสถานการณ์ COVID-19 ในสหรัฐฯ เริ่มดีขึ้นหลังโจ ไบเดน (Joe Biden) เข้ามารับตำแหน่งประธานาธิบดี พร้อมกับนโยบายเร่งฉีดวัคซีนให้ได้ 200 ล้านโดส ภายใน 100 วันหลังรับตำแหน่ง ภายใต้ข้อจำกัดที่เป็นอุปสรรคในการทำให้ได้ตามเป้า คือค่านิยมของชาวสหรัฐฯ ที่บางส่วนไม่เห็นด้วยกันการฉีดวัคซีน โจทย์ที่ไบเดนต้องแก้คือ ทำอย่างไรให้การฉีดวัคซีนในขอบเขตจำกัดสัมฤทธ์ผลมากที่สุด เพื่อกระตุ้นให้คนอื่นๆ เชื่อใจ และหันมาฉีดวัคซีนมากขึ้น ซึ่งหนึ่งในคำตอบที่ไบเดนเลือกคือ วัคซีนที่มีประสิทธิภาพดีเพียงพอ
วัคซีนตัวหลักที่สหรัฐฯ เลือกใช้คือ ชนิด mRNA อย่างของบริษัทไฟเซอร์ และโมเดอร์นา (Moderna) นอกจากนี้ยังมี Vector Vaccine ของบริษัทจอห์นสันแอนด์จอห์นสันเป็นตัวเสริม โดยสหรัฐฯ เริ่มฉีดวัคซีนอย่างเป็นทางการช่วงเดือนมกราคมเช่นเดียวกับอิสราเอล หลังจากนั้น จำนวนผู้ติดเชื้อรายวันก็ลดลงอย่างต่อเนื่อง จากที่เคยมีผู้ติดเชื้อสูงถึง 2.8 แสนคนต่อวัน ลดลงเหลือราวๆ 4.4 หมื่นคนต่อวัน หรือลดลงประมาณ 6 เท่า
สหรัฐฯ มีประชาชนราว 200 ล้านคน ปัจจุบันมีประชาชน 44% รับวัคซีนแล้วอย่างน้อย 1 เข็ม ขณะที่ 32% ได้รับวัคซีนครบโดสแล้ว ผลลัพธ์ดังกล่าวชี้ให้เห็นแล้วว่า การฉีดวัคซีนที่ ‘มีประสิทธิภาพ’ ในเวลาที่ ‘รวดเร็ว’ สามารถช่วยระงับการระบาดได้
ตัวอย่างที่ 3 ที่จะพูดถึงคือประเทศชิลี ซึ่งจะมีผลลัพธ์แตกต่างจากทั้ง 2 ประเทศที่กล่าวมาข้างต้น ชิลีเป็นอีกหนึ่งในประเทศที่มีอัตราฉีดวัคซีนให้ประชาชนมากที่สุดแห่งหนึ่งของโลก ชิลีเป็นชาติแรกในแถบละตินอเมริกาที่เริ่มฉีดวัคซีน โดยเริ่มฉีดช่วงเดือนมกราคม ในปัจจุบัน มีประชาชนชิลีฉีดวัคซีนเข็มแรกแล้ว 43% และอีก 36% ฉีดวัคซีนครบโดสแล้ว
ที่น่าสังเกตคือ จำนวนผู้ติดเชื้อรายวันในชิลีกลับไม่ลดลงตามจำนวนวัคซีนที่ถูกใช้ไป เมื่อต้นเดือนเมษายนที่ผ่านมา ผู้ติดเชื้อในชิลีพุ่งแตะ 9,000 รายต่อวัน ทำลายสถิติเดิมที่ 7,000 รายต่อวันเมื่อเดือนมิถุนายนปี ค.ศ.2020 คำถามคือ อะไรทำให้ประเทศที่ฉีดวัคซีนมากที่สุดประเทศหนึ่งของโลก ล้มเหลวในการลดจำนวนผู้ติดเชื้อ ซึ่งหลายคนมองว่าคำตอบของคำถามนี้ คือ วัคซีนโคโรนาแวค (CoronaVac) จากบริษัทซิโนแวค (Sinovac) ของจีน ซึ่งเป็นวัคซีนตัวหลักที่ชิลีเลือกใช้
เมื่อช่วงปลายเดือนเมษายนที่ผ่านมา มีรายงานประสิทธิภาพวัคซีนของซิโนแวคเผยแพร่ออกมา โดยระบุว่าวัคซีนดังกล่าวมีประสิทธิภาพในการป้องกันการติดเชื้อแบบมีอาการอยู่ที่ 49.6% และหากรวมกรณีติดเชื้อแบบไม่แสดงอาการ ประสิทธิภาพวัคซีนลดมาเหลือ 35.1% ซึ่งต่ำกว่าเกณฑ์มาตรฐานที่องค์กรอนามัยโลก (WHO) ตั้งไว้ และถือว่าประสิทธิภาพต่ำมากเมื่อเทียบกับวัคซีนของไฟเซอร์, โมเดอร์นา และแอสตร้าเซนเนก้า ที่สามารถลดอัตราการแพร่ระบาดได้ตั้งแต่ฉีดเข็มแรก ซึ่งนี่จึงอาจเป็นหนึ่งสาเหตุที่ทำให้ชิลียังมีการแพร่ระบาดอย่างต่อเนื่องแม้จะฉีดวัคซีนไปจำนวนมาก
ซึ่งในกรณีของประเทศชิลี นพ.ศุภโชค เกิดลาภ อายุรแพทย์โรคติดเชื้อ สถาบันการแพทย์จักรีนฤบดินทร์ คณะแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลรามาธิบดี ได้แสดงความเห็นไว้ในเฟซบุ๊กส่วนตัวไว้ดังนี้
- ประชาชนที่ฉีดวัคซีนซิโนแวคครบ 2 โดสมีจำนวนไม่มากนัก ขณะที่ภูมิต้านทานจะพัฒนาได้ดีหลังฉีดได้ 2 โดส ดังนั้นหากฉีดเพียงเข็มเดียวยังไม่สามารถสร้างภูมิต้านทางได้เพียงพอ
- ชิลีผ่อนคลายมาตรการควบคุม COVID-19 อย่างรวดเร็ว หลังประชาชนส่วนใหญ่ฉีดวัคซีนได้เพียง 1 เข็ม ซึ่งอาจส่งผลให้เกิดการแพร่ระบาดในวงกว้าง
- ชิลีเผชิญหน้ากับการแพร่ระบาด COVID-19 สายพันธุ์บราซิล ซึ่งวัคซีนของซิโนแวค ‘อาจ’ มีประสิทธิภาพลดลงเมื่อเจอสายพันธุ์ดังกล่าว
- เช่นเดียวกับที่กล่าวไปข้างต้น ชาวชิลีบางส่วนตั้งข้อสังเกตว่า วัคซีนซิโนแวคไม่มีประสิทธิภาพมากพอจะสร้างภูมิคุ้มกันหมู่ แต่มีประโยชน์ในแง่ลดอัตราการเสียชีวิต และความรุนแรงของโรค ซึ่งประเด็นนี้ยังต้องรอผลศึกษาที่แน่ชัดเช่นกัน
และจากตัวอย่างของทั้ง 3 ประเทศที่กล่าวมาข้างต้น หมอศุภโชคสรุปข้อความสำคัญของชนิดวัคซีน ต่อการควบคุมสถานการณ์ COVID-19 ได้ดังนี้
– มีหลักฐานชี้ชัดว่าการเร่งฉีดวัคซีนที่มีประสิทธิภาพในจำนวนที่มากพอ จะช่วยสร้างภูมิต้านทางหมู่ รวมถึงยุติการระบาดได้
– วัคซีนไฟเซอร์ที่อิสราเอล และสหรัฐฯ เลือกใช้มีประสิทธิภาพมากพอสำหรับลดการระบาดของ COVID-19 ขณะที่วัคซีนโคโรนาแวค ของบริษัทซิโนแวคที่ฉีดในประเทศชิลี ยังไม่แสดงให้เห็นถึงการพัฒนาภูมิต้านทางหมู่ หรือการลดลงของการแพร่ระบาด ซึ่งต้องรอผลการศึกษาเพิ่มเติมต่อไป
นอกจากนี้ หมอศุภโชคยังเน้นย้ำว่า การฉีดวัคซีนเพียงเข็มเดียว อาจไม่สามารถกระตุ้นภูมิคุ้มกันได้มากพอ ดังนั้น การป้องกันด้วยวิธีมาตรฐานอย่างสวมใส่หน้ากากอนามัย หมั่นล้างมือ และรักษาระยะห่าง ยังเป็นสิ่งที่จำเป็นต้องทำเมื่ออยู่ในพื้นที่สาธารณะ
วัคซีนเป็นปัจจัยสำคัญของการกำหนดทิศทางสถานการณ์ COVID-19 ในแต่ละประเทศก็จริง แต่นอกจากวัคซีนแล้ว การบริหารงานของรัฐบาล ก็เป็นอีกปัจจัยที่สำคัญไม่แพ้กัน เพราะหากรัฐบาลมีวิสัยทัศน์ และมีความสามารถในการจัดการปัญหาได้อย่างเป็นระบบ วัคซีนที่ดีจะมาถึงประชาชนโดยไม่จำเป็นต้องร้องขอ
อ้างอิงจาก
https://www.worldometers.info/coronavirus/country/chile/
https://www.worldometers.info/coronavirus/country/israel/
https://www.nytimes.com/…/covid-vaccinations-tracker.html
https://www.cnbc.com/…/covid-chiles-coronavirus-cases…
https://www.aa.com.tr/…/why-chile-breaks…/2202023
https://www.nbcnews.com/…/150-million-vaccinations…
https://web.facebook.com/nungtoxic