วันนี้ (11 พฤษภาคม) เมื่อ 121 ปีก่อน คือวันเกิดของ ปรีดี พนมยงค์ อดีตนายกรัฐมนตรีของไทย และแกนนำฝ่ายพลเรือนของคณะราษฎร บทบาทของปรีดี อยู่ในความทรงจำของคนไทยในหลายรูปแบบ แต่หลักฐานเชิงประจักษ์ ที่ปฏิเสธไม่ได้เคย คือ คุณูปการของเขา ในฐานะนายกรัฐมนตรีคนที่ 7 ของประเทศไทย
แม้ว่าปรีดี จะอยู่ในภาพจำ ของการเป็นหัวหน้าคณะราษฎรฝ่ายพลเรือน ที่เป็นผู้ก่อการอภิวัฒน์สยาม เปลี่ยนแปลงการปกครอง จากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ มาเป็นราชาธิปไตยภายใต้รัฐธรรมนูญ ภายใต้ระบบรัฐสภา แต่ปรีดีอุทิศตนเองเพื่อบ้านเมือง ในหลายรูปแบบ ทั้งในบทบาท รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ หัวหน้ากลุ่มเสรีไทย ตลอดจนบทบาทของการเป็นนายกรัฐมนตรี
เป็นเพียงเวลาสั้นๆ เท่านั้น ที่ปรีดีขึ้นดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ภายใต้การสนับสนุนของพรรคสหชีพ และพรรคแนวรัฐธรรมนูญ เขาดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี เป็นเวลาประมาณ 5 เดือน ตั้งแต่มีนาคมถึงสิงหาคม พ.ศ.2489 ถึงจะเป็นเวลาสั้นๆ แต่ปรีดีก็ได้ทำหน้าที่ของการเป็นนายกรัฐมนตรี ผู้บริหารบ้านเมืองในยามวิกฤต ตราบจนถึงวันที่เขาลาออกจากตำแหน่งดังกล่าว
กู้วิกฤตบ้านเมือง หลังสงครามโลกครั้งที่ 2
เมื่อสงครามโลกครั้งที่ 2 จบลง ไทยถูกประกาศ ไม่ให้เป็นทั้งประเทศผู้ชนะ และประเทศผู้แพ้สงคราม ด้วยการดำรงอยู่ของกลุ่มเสรีไทย ภายใต้การนำของปรีดี และเสรีไทยฝั่งสหราชอาราจักร และสหรัฐฯ หลังจากที่ จอมพลแปลก พิบูลสงคราม ตัดสินใจนำไทยเข้าร่วมเป็นชาติพันธมิตรกับฝ่ายอักษะ ปรีดีมีส่วนสำคัญในการแก้ไข ‘ความตกลงสมบูรณ์แบบ’ กับชาติฝ่ายสัมพันธมิตร โดยเฉพาะอย่างยิ่ง สหราชอาณาจักร ที่ไทยเคยตกลงว่า จะยอมมอบข้าวสารจำนวน 1.5 ล้านตัน ให้แก่สหราชอาณาจักร เป็นค่าปฏิกรรมสงคราม ผลจากการเจรจาแก้ไขในครั้งนั้น ทำให้สหราชอาณาจักรเปลี่ยนจากการได้ข้าวสารเปล่า มาเป็นการซื้อแทน
ปรีดีไม่ได้เพิ่งมามีบทบาท ของการเป็นผู้แก้ไขความตกลงดังกล่าว แต่เขาทำหน้าที่ในการประกาศสันติภาพ แก่ชาติสัมพันธมิตร ย้อนไปได้ถึงบทบาทของการจัดตั้งองค์กรลับอย่าง ‘เสรีไทย’ เพื่อติดต่อชาติสัมพันธมิตร และต่อต้านญี่ปุ่นจนกระทั่งจบสงคราม กลุ่มเสรีไทยนี้เอง ที่ทำหน้าที่เข้าปลดอาวุธทหารญี่ปุ่น เมื่อสงครามโลกครั้งที่ 2 จบลง ปรีดียังมีบทบาทในการแก้ไขสนธิสัญญาที่ไม่เป็นธรรม ที่ไทยหรืออดีตสยาม เคยทำกับชาติตะวันตก จนเรียกได้ว่า ไทยมีอธิปไตยเหนือกฎหมายอย่างสมบูรณ์ ก็ด้วยความพยามยามของปรีดี สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล ทรงประกาศให้ปรีดีเป็น ‘รัฐบุรุษอาวุโส’ เมื่อวันที่ 8 ธันวาคม พ.ศ.2488 จากคุณงามความดี ในการช่วยให้บ้านเมืองพ้นจากวิกฤตสงครามเอาไว้ได้
ประกาศใช้รัฐธรรมนูญฉบับ พ.ศ.2489 พฤฒสภา (ส.ว.) มาจากการเลือกตั้ง
ภาพจำของรัฐธรรมนูญ ที่หลายคนนิยามว่าเป็นประชาธิปไตยที่สุด อาจเป็นรัฐธรรมนูญฉบับ พ.ศ.2540 อย่างไรก็ดี รัฐธรรมนูญอีกฉบับ ที่ถูกยกย่องว่าเป็นฉบับที่มีเนื้อหาสาระเป็นประชาธิปไตย และยืดโยงกับประชาชนมากที่สุด คงหนีไม่พ้นรัฐธรรมนูญฉบับ พ.ศ.2489 ด้วยระบบเลือกตั้ง ทั้งสองสภา ได้แก่ สภาผู้แทนราษฎร และพฤตสภา (วุฒิสภา) ที่มาจากการเลือกตั้งทั้ง 2 สภา
รัฐธรรมนูญฉบับ พ.ศ.2489 ยังกำหนดให้รัฐมนตรี ต้องไม่ดํารงตําแหน่งข้าราชการประจําในเวลาเดียวกัน ถือได้ว่าเป็นความพยายาม ในการแยกข้าราชการการเมือง ออกจากข้าราชการประจำ ทำให้เกิดพลังทางการเมือง ที่อยู่นอกจากระบบราชการขึ้นมาเป็นครั้งแรกๆ ของประเทศไทย การกระจายอำนาจเกิดขึ้นในรัฐธรรมนูญฉบับนี้ เมื่อปรีดีหันนโยบายไปในทางการสนับสนุนสหกรณ์เกษตรกรและรัฐวิสาหกิจ เช่น การใช้เครื่องจักรช่วยในการกสิกรรม โครงการสร้างบ้านเป็นงานอาคารสงเคราะห์ สร้างสวนสาธารณะ ส่งเสริมการท่องเที่ยวจากต่างประเทศ รัฐธรรมนูญฉบับดังกล่าว ถูกฉีกลงเมื่อเกิดการทำรัฐประหาร ของ จอมพลผิน ชุณหะวัณ เมื่อ พ.ศ.2490
ลาออกจากตำแหน่ง เพื่อแสดงความรับผิดชอบ
9 มิถุนายน พ.ศ.2489 สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดลเสด็จสวรรคต ปรีดีขอความเห็นชอบของรัฐสภา เพื่ออัญเชิญให้พระเจ้าน้องยาเธอ เจ้าฟ้าภูมิพลอดุลยเดช ขึ้นครองราชย์ต่อจากพระเชษฐา เมื่อรัฐสภามีมติเห็นชอบแล้ว ปรีดีจึงลาออกจากตำแหน่ง เพื่อแสดงความรับผิดชอบ ก่อนที่จะได้รับความเห็นชอบจากรัฐสภา ให้ขึ้นดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีอีกรอบ
รัฐบาลปรีดีพยายามเปิดการสอบสวนคดีสวรรคต แต่อย่างไรก็ดี รัฐบาลไม่สามารถหาคำตอบของคดีได้ พรรคการเมืองฝ่ายค้าน นำโดยพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวหาว่าปรีดีอยู่เบื้องหลัง ในข้อกล่าวหาเรื่องการลอบปลงพระชนม์ จนนำไปสู่การลาออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรีของปรีดี ในเดือนสิงหาคม พ.ศ.2489 เพื่อแสดงความรับผิดชอบอีกครั้ง ปิดฉากการบริหารประเทศในฐานะประมุขฝ่ายบริหาร ในระยะเวลาสั้นๆ เพียงแค่ 5 เดือนเท่านั้น อย่างไรก็ดี ปรีดีชนะทุกคดี ที่มีการฟ้องร้องและกล่าวหาว่า เขามีส่วนเกี่ยวข้องกับกรณีสวรรคต
หลังจากการรัฐประหาร ใน พ.ศ.2490 ปรีดีลี้ภัยทางการเมืองออกนอกประเทศ ไปยังสาธารณรัฐจีน เขาพยายามลอบกลับเข้าประเทศ เพื่อก่อขบวนการประชาธิปไตย 26 กุมภาพันธ์ ใน พ.ศ.2492 อย่างไรก็ดี ความพยายามในครั้งนั้นไม่สำเร็จผล ก่อนที่ปรีดีจำต้องลี้ภัยออกนอกประเทศ และไม่ได้กลับมายังมาตุภูมิอีกเลย นับแต่นั้นเป็นต้นมา
เมื่อ พ.ศ.2517 ปรีดีเคยมีบทปาฐกถา ‘เราจะต่อต้านเผด็จการอย่างไร’ ให้แก่นักเรียนไทยในฝรั่งเศส โดยมีใจความท่อนหนึ่งเสนอว่า “การต่อสู้ใดๆ นั้นย่อมมีทั้งการรุกและการรับ ฉะนั้นไม่ควรมองเพียงด้านเดียว เฉพาะด้านวิธีต่อสู้เผด็จการ คือต้องพิจารณาด้านที่ฝ่ายเผด็จการจะตอบโต้ด้วย คือฝ่ายเผด็จการย่อมใช้วิธีเศรฐกิจ, วิธีการเมือง, วิธีกำลังทหารตำรวจ, วิธีจิตวิทยาที่ทำให้คนลุ่มหลงในระบบเผด็จการ ซึ่งฝ่ายต่อสู้เผด็จการจะต้องพิจารณาให้ถ่องแท้ โดยอาศัยหลักทฤษฎีสังคม ที่ถูกต้องสมานกับรูปธรรม ที่ประจักษ์ด้วย แล้ววินิจฉัยตามความเหมาะสม แก่สภาพของกำลังของทั้งสองฝ่าย ตามท้องที่และกาลสมัย”
อีกใจความท่อนหนึ่งระบุว่า “ผมขอให้ท่านทั้งหลายระลึกอีกอย่างหนึ่งว่า ในบรรดาบุคคลแห่งฝ่ายต่อต้านเผด็จการนั้น ย่อมมีความแตกต่างกันในจุดหมายปลายทางแห่งระบอบสังคม ฉะนั้น จึงควรพิจารณาว่าความต้องการเบื้องต้น ที่ตรงกันคืออะไร แล้วสถาปนาความสามัคคีตามพื้นฐานนั้นก่อน ผมสังเกตว่า เมื่อวันที่ 14 ตุลาคม 2516 นิสิต นักศึกษา นักเรียน โดยความสนับสนุนของมวลราษฎร ได้สมานสามัคคีกันเพื่อให้ได้มาซึ่งระบอบประชาธิปไตยสมบูรณ์ ฉะนั้น ถ้าสมานสามัคคีกันต่อไปเพื่อให้ได้ประชาธิปไตยที่สมบูรณ์แบบเบื้องต้นก็จะเป็นคุณูปการแก่การต่อต้านเผด็จการให้สำเร็จได้ ”
ปรีดีเสียชีวิต บนโต๊ะเขียนหนังสือของเขา เมื่อวันที่ 2 พฤษภาคม พ.ศ.2526 ในบ้านพักส่วนตัว ชานเมืองปารีส ดุษฎี พนมยงค์ บุตรสาวของปรีดี เคยให้สัมภาษณ์เอาไว้ว่า ปรีดีเคยกล่าวว่า เขาจะไม่กลับมายังประเทศไทย ถึงแม้ว่าจะสามารถเดินทางกลับมาได้ เพราะถ้าหากกลับมาแล้ว แล้วบ้านเมืองจะวุ่นวาย ก็ขอไม่กลับมาเสียยังจะดีกว่า ปิดตำนาน “คนดีเมืองไทยไม่ต้องการ” ผู้อุทิศชีวิตให้แก่บ้านเมือง ตราบจนวันสุดท้ายของชีวิต
อ้างอิงจาก
http://www.openbase.in.th/files/pridibook078.pdf
https://pridi.or.th/th/content/2020/11/485
http://www.pridi-phoonsuk.org/wp-content/uploads/2010/01/82.pdf
https://pridi.or.th/th/content/2021/01/588
http://www.ratchakitcha.soc.go.th/DATA/PDF/2489/A/030/318.PDF
#Brief #TheMATTER