หลายวันที่ผ่านมาราคาบิตคอยน์ (Bitcoin) เหรียญพี่ใหญ่บนกระดานคริปโตเคอร์เรนซีราคาดิ่งหนัก วันนี้แตะอยู่ที่ประมาณ $45,000 (ราว 1,400,000 บาท) เป็นการลดลงที่นักลงทุนหลายคนถึงกับกุมขมับ หลังจากที่เดือนที่แล้วบิตคอยน์เพิ่งทำราคาสูงสุดทะลุ $60,000 ไปได้
13 พฤษภาคม ค.ศ.2021 ที่ผ่านมาน่าจะเป็นวันที่บิตคอยน์เริ่มดิ่งหนัก เป็นวันเดียวกับที่ อีลอน มัสก์ เจ้าของบริษัทเทสลา ออกมาทวีตข้อความว่า เทสลาจะเลิกรับเหรียญบิตคอยน์ในการซื้อรถ เนื่องจากกังวลใจเรื่องของภาวะโลกร้อนที่เกิดขึ้นจากการขุดบิตคอยน์ ซึ่งต้องใช้พลังงานเชื้อเพลิงมหาศาล
ต่อมาในวันอาทิตย์ มัสก์ก็ได้ตอบกลับข้อความว่า “Indeed” (แน่นอน) บนข้อความทวิตเตอร์ที่ใช้ชื่อว่า @CryptoWhale ที่บอกว่าราคาบิตคอยน์อาจจะดิ่งหนักได้อีกในไตรมาสหน้าหากเทสลาเทขายบิตคอยน์ในมือ
ถัดมาวันจันทร์ ราคาบิตคอยน์ยังคงลดลง มัสก์ได้ทวีตข้อความว่า “To clarify speculation, Tesla has not sold any Bitcoin” แปลว่า เพื่อชี้แจงเรื่องการเก็งกำไร เทสลายังไม่ได้ขายบิตคอยน์นะ—สร้างความปั่นป่วนให้ตลาดอีกระลอก
แน่นอนว่า ราคาที่ดิ่งหนักสะเทือนทั้งตลาด หรือราคาที่พุ่งขึ้นก็ทำให้มีหลายคนไม่พอใจกับความเคลื่อนไหวของมัสก์ นักลงทุนบางรายถึงขั้นแสดงความโกรธเคืองและกล่าวหาว่ามัสก์ควบคุมตลาด (manipulate) ประมาณว่าเขาใช้ชื่อเสียงในการจัดการให้ตลาดขึ้น-ลงด้วยทวีตของเขา และฉวยโอกาสทำประโยชน์จากสถานการณ์นั้นๆ
นำมาซึ่งคำถามที่ว่า ‘อีลอน มัสก์ มีอิทธิพลต่อตลาดคริปโตฯ ขนาดนั้นเลยหรือ?’ เพราะก็มีนักลงทุนที่อยู่ในตลาดมานานบอกว่านี่เป็นขาลงของบิตคอยน์ตามเทรนด์อยู่แล้ว หรือแนวโน้มที่คาดไว้อยูแล้ว เหมือนกับการปรับตัวลงครั้งสองครั้งใหญ่ที่เคยเกิดขึ้น มัสก์แค่ทวีตเกาะเทรนด์ขาลงเท่านั้น
อธิบายเพิ่มเล็กน้อย บิตคอยน์เป็นสกุลเงินดิจิทัลที่ไม่ได้มีโปรเจกต์ใดๆ ซัพพอร์ตตัวเหรียญ บิตคอยน์เป็นสกุลเงินดิจิทัลเหรียญแรกที่เกิดขึ้นบนโลก หลายบริษัทระดับโลกเริ่มออกมาประกาศรับชำระเป็นราคาสินค้าในหลายปีที่ผ่านมาเช่นเดียวกันกับเทสลา ความน่าเชื่อถือของบิตคอยน์จึงทำให้มันมีมูลค่า อาจกล่าวได้ว่ามาจากการที่มันสามารถใช้ชำระเงินได้จริง
ต้องยอมรับว่า ตอนนี้เหล่าคริปโตฯ ยังไม่ถูกกำกับให้ใช้ชำระเงินได้อย่างถูกกฎหมายเหมือนสกุลเงินดอลลาร์ เงินเยน หรือบาทไทย ซึ่งการขึ้น-ลงของราคาคริปโตฯ มักเกิดขึ้นจากการให้ ‘มูลค่าร่วมกัน’ ของนักลงทุน
ไม่มีใครสามารถฟันธงได้ว่า ราคาขาลงของบิตคอยน์รอบนี้เกิดจากอะไร? แต่ไปย้อนดูขาลงของบิตคอยน์ทั้งสองครั้งที่ผ่านมาดีกว่า
ในครั้งแรก ราคาสูงสุดของบิตคอยน์เกิดขึ้นในเดือนพฤศจิกายน ค.ศ.2013 ที่ราคา $1,119.80 และลงอย่างหนักในเดือนมกราคม ค.ศ.2015 ทำให้ราคาต่ำสุดที่ $152.40
ครั้งที่สอง ราคาสูงสุดของบิตคอยน์เกิดขึ้นในเดือนธันวาคม ค.ศ.2017 ที่ราคา $19,666 และลงอย่างหนักในเดือนธันวาคม ค.ศ.2018 ทำให้ราคาต่ำสุดที่ $3,122.28
ส่วนแนวโน้มในครั้งที่สามหรือครั้งนี้ ราคาสูงสุดของบิตคอยน์เกิดขึ้นเมื่อ 14 เมษายน ค.ศ.2020 ที่ผ่านมา ด้วยราคา $64,895.22 ซึ่งนักวิเคราะห์สายคริปโตฯ ก็บอกตรงกันว่า หากราคากลับขึ้นไปได้ อาจจะไม่ใช่การลงครั้งใหญ่ของตลาดคริปโตฯ ในวงการคริปโตฯ จะมีคำอธิบายว่าปรากฏการณ์ร่วงลงว่า มักจะเกิดเป็นวัฏจักร ในช่วงแรกเมื่อรายใหญ่หรือวาฬ (คนที่ถือเหรียญเยอะมากๆ) เข้าซื้อจนทำให้ราคาพุ่ง รายย่อยที่เข้าซื้อตามก็จะทำให้ราคาดีดขึ้นจนได้ราคาใหม่ที่สูงกว่าเดิม พอรายใหญ่เทขายทำกำไร และเกิดการเทขายตามมาอีก ราคาเหรียญเลยร่วงลงเมื่อแรงขายมากกว่าแรงซื้อ
กลับมาที่ อีลอน มัสก์ คนที่แอ็กทีฟกับวงการคริปโตเคอร์เรนซีอย่างมาก ด้วยความโด่งดังของเทสลาในฐานะบริษัทเทคโนโลยี และการใช้แพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียส่วนตัวของมัสก์ คงจะเป็นตัวบอกได้ว่ามัสก์ขยับตลาดคริปโตฯ ได้จริง (ย้อนอ่านได้ที่ thematter.co)
มัสก์เคยทวีตข้อความที่ทำให้ราคา Dogecoin ซึ่งเคยถูกบอกว่าเป็นเหรียญไม่มีมูลค่า (เพราะไม่มีโปรเจกต์พัฒนาเป็นชิ้นเป็นอัน) พุ่งหลัก 1000% มาแล้ว เพียงแค่ทวีตบอกว่า Dogecoin เป็นเหรียญโปรดของเขา จนวันนี้มีราคาอยู่ที่เหรียญละประมาณ 15-16 บาท และมัสก์ก็เป็นหนึ่งในมหาเศรษฐีของโลกด้านเทคโนโลยี ที่ออกตัวว่าเขาเชื่อมั่นในอนาคตของคริปโตฯ มานานหลายปี
ส่วนที่ว่าเขาควบคุมตลาดหรือไม่นั้นยังเป็นคำถามที่น่าสนใจและถกเถียงกันอยู่ หากตีความจากที่ Matt Levine นักวิเคราะห์ตลาดหุ้นของ Bloomberg เคยพูดถึงเอาไว้ เขาบอกว่า manipulation คือการเข้าซื้อโดยมีจุดประสงค์ให้ราคาขึ้น เพื่อให้คนอื่นซื้อตามดันราคาสูงตาม แต่ถ้าราคามันขึ้นอยู่แล้วและเข้าไปซื้อตามเพราะหวังว่าราคามันจะขึ้นไปอีก นั่นไม่ใช่
ลองย้อนการกระทำของมัสก์ดูก็มีจุดที่น่าสนใจอยู่เหมือนกัน เพราะเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา เทสลาเข้าซื้อบิตคอยน์มูลค่า 4.5 หมื่นล้านบาท พร้อมกันนั้นเทสลาก็ประกาศรับซื้อรถด้วยบิตคอยน์ ซึ่งทำให้ราคาบิตคอยน์ทะลุ $50,000 เป็นครั้งแรก ก่อนที่เทสลาจะเทขาย 10% ของบิตคอยน์ที่ถืออยู่ในเวลาถัดมา ทำกำไรให้บริษัทไปได้กว่า 101 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ดันผลประกอบการไตรมาสแรกของเทสลาในปีนี้ขึ้นอีก 30% แต่ทั้งหมดทั้งมวลนี้ก็เป็นสิ่งที่ ‘วอร์เรน บัฟเฟตต์’ เคยทำกับตลาดหุ้นมาก่อน ลากตลาดได้เพราะนักลงทุนในวอลล์สตรีตเชื่อการตัดสินใจของเขา
อาจจะยังเป็นพื้นที่สีเทาที่สรุปไม่ได้นัก และไม่มีใครรู้ว่ามันจะเป็นการลงของราคาครั้งใหญ่อีกรอบของตลาดคริปโตฯ หรือเปล่า แต่จุดหนึ่งที่นักลงทุนหลายคนอาจต้องถอยมาทบทวนก็คือ หากเชื่อว่าคริปโตฯ ถูกสั่นคลอนได้ด้วยทวีตของคนไม่กี่คน แล้วทำไมเรายังเชื่อมั่นและถือมันไว้เป็นสินทรัพย์ชนิดหนึ่ง
*บทความนี้ไม่ใช่การแนะนำการลงทุน และทุกการลงทุนมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนควรศึกษาข้อมูลก่อนตัดสินใจลงทุน
อ้างอิงข้อมูลจาก