หลังพบการระบาดของ COVID-19 สายพันธุ์อินเดียได้ไม่ถึง 3 วัน เมื่อวานนี้ (22 พฤษภาคม) มีการยืนยันแล้วว่า COVID-19 สายพันธุ์แอฟริกาใต้ได้ลุกลามมาระบาดในไทยแล้ว โดยพบผู้ป่วยจากคลัสเตอร์อำเภอตากใบ จังหวัดนราธิวาส จำนวน 3 ราย และมีประวัติติดต่อกับชาวมาเลเซีย ซึ่งเป็นประเทศที่มีการระบาดของสายพันธุ์ดังกล่าวอยู่ในขณะนี้
COVID-19 สายพันธุ์แอฟริกาใต้เป็นสายพันธุ์ที่ผู้เชี่ยวชาญหลายๆ คน กังวลอย่างมาก เนื่องจากมีรายงานว่า ประสิทธิภาพของวัคซีนไม่สามารถสกัดเชื้อได้ดีเท่าไหร่นักเมื่อเทียบกับสายพันธุ์อื่นๆ นอกจากนี้ ด้วยความที่เป็นไวรัสกลายพันธุ์ ยังทำให้การแพร่กระจายเชื้อเป็นไปได้ง่ายกว่าสายพันธุ์ดั้งเดิมอีกด้วย
COVID-19 สายพันธุ์แอฟริกาใต้ หรือ B.1.351 พบครั้งแรกที่บริเวณอ่าวเนลสันแมนเดลา จังหวัดอีสเทิร์นเคป ประเทศแอฟริกาใต้ ในช่วงเดือนตุลาคม ค.ศ.2020 ซึ่งตามรายงานของกระทรวงสาธารณสุขแอฟริกาใต้ระบุว่า สายพันธุ์ดังกล่าวเริ่มอุบัติขึ้นตั้งแต่ช่วงเดือนกรกฎาคม-สิงหาคม ในปีเดียวกัน
สายพันธุ์แอฟริกาใต้มีการกลายพันธุ์ใน 3 ตำแหน่ง ได้แก่ K417N, E484K และ N501Y โดยการกลายพันธุ์ในตำแหน่ง K417N จะทำให้เชื้อจับกับเซลล์ได้ดีขึ้น ขณะที่การกลายพันธุ์ตำแหน่ง E484K ทำให้ไวรัสหลบเลี่ยงภูมิคุ้มกันในร่างกายได้ และการกลายพันธุ์ในตำแหน่ง N501Y ทำให้เกิดเปลี่ยนแปลงบริเวณ Receptor-Binding Domain (RBD) หรือส่วนที่จับกับตัวรับบนเซลล์ผิวหนัง ส่งผลไวรัสแพร่กระจายมากขึ้น และเข้าสู่ร่างกายมนุษย์ได้ง่ายขึ้นด้วย
อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันยังไม่มีการยืนยันว่า COVID-19 สายพันธุ์แอฟริกาใต้มีความรุนแรงกว่าสายพันธุ์อื่นๆ หรือไม่ แต่การที่มันแพร่กระจายเชื้อได้รวดเร็วมากขึ้น ย่อมส่งผลให้อัตราการป่วย และการเข้าโรงพยาบาลเพิ่มสูงขึ้น โดยเฉพาะในกลุ่มผู้สูงอายุ
อีกหนึ่งประเด็นที่หลายคนกังวลใจเกี่ยวกับ COVID-19 สายพันธุ์นี้คือ ประสิทธิภาพของวัคซีนที่ดูเหมือนจะตอบสนองต่อเชื้อไวรัสสายพันธุ์นี้ไม่ดีเท่าไหร่นัก ศ.นพ.มานพ พิทักษ์ภากร หัวหน้าศูนย์วิจัยการแพทย์แม่นยำ คณะแพทยศาสตร์ ศิริราชพยาบาล เปิดเผยผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัวว่า B.1.351 หรือสายพันธุ์แอฟริกาใต้ เป็นสายพันธุ์ที่ดื้อกับวัคซีน และแอนติบอดีมากที่สุด รองลงมาคือ สายพันธุ์บราซิล ที่มีการกลายพันธุ์ตำแหน่ง E484K เช่นเดียวกัน
ตัว E484K นี่เองที่เป็นสาเหตุหลักทำให้ B.1.351 ดื้อต่อวัคซีนและแอนติบอดี เนื่องจากการกลายพันธุ์ในตำแหน่ง E484K บนโปรตีนตรงส่วนหนาม (Spike Protein) คือการเปลี่ยนกรดอะมิโนจากกลูตาเมต (Glutamate) ไปเป็นไลซีน (Lysine) ส่งผลให้แอนติบอดีจับกับโปรตีนตรงส่วนหนามได้ยากขึ้น
ประกอบกับวัคซีน COVID-19 ที่ใช้กันอย่างแพร่หลายในปัจจุบัน เป็นวัคซีนที่พัฒนามาเพื่อรับมือกับสายพันธุ์ดั้งเดิม จึงทำให้ประสิทธิภาพลดลงเมื่อต้องเจอกับไวรัสกลายพันธุ์ แต่ก็ใช่ว่าวัคซีนเหล่านั้นจะใช้ไม่ได้ผลเลยเสียทีเดียว สำหรับที่มีประสิทธิภาพป้องกัน COVID-19 สายพันธุ์แอฟริกาใต้ในขณะนี้ ได้แก่ วัคซีนไฟเซอร์ ป้องกันได้ 75%, วัคซีนโมเดอร์นา 75%, วัคซีนจอห์นสันแอนด์จอห์นสัน 64-66% และวัคซีนโนวาแวกซ์ 60.1%
ส่วนวัคซีนแอสตร้าเซนเนก้ามีประสิทธิภาพต่อต้านสายพันธุ์นี้ได้เพียง 10.4% เท่านั้น ขณะที่งานวิจัยจากวารสารการแพทย์นิวอิงแลนด์ (The New England Journal of Medicine) เปิดเผยว่า ภูมิคุ้มกันจากการฉีดวัคซีนซิโนแวคมีประสิทธิภาพลดลงอย่างมาก เมื่อต้องสกัดไวรัสสายพันธุ์แอฟริกาใต้
ปัจจุบัน COVID-19 สายพันธุ์แอฟริกาใต้ถูกจัดให้อยู่ในกลุ่ม สายพันธุ์ที่น่ากังวล (Variant of Concern) ดังนั้นวิธีรับมือกับวิกฤตครั้งนี้ที่ดีที่สุดคือการนำเข้าวัคซีนที่มีประสิทธิภาพเพียงพอที่จะสกัดไวรัสดังกล่าว และในช่วงเวลาแบบนี้อาจถึงเวลาต้องยอมรับแล้วว่าวัคซีนที่ดีที่สุด อาจไม่ใช่วัคซีนที่ได้ฉีดเร็วที่สุดเสมอไป แต่เป็นวัคซีนที่มีคุณภาพป้องกันการติดเชื้อ ลดระดับความรุนแรงของโรค และลดอัตราการเสียชีวิตได้จริง
อ้างอิงจาก
https://www.bbc.com/news/health-55534727
https://www.nejm.org/doi/full/10.1056/NEJMc2104974…
https://www.nejm.org/doi/full/10.1056/NEJMoa2103055…
https://www.nejm.org/doi/full/10.1056/NEJMc2103022…
https://www.nejm.org/doi/full/10.1056/NEJMoa2102214…
https://www.pptvhd36.com/…/%E0%B8%AA%E0%B8%B8%E0…/148000
https://web.facebook.com/photo?fbid=10160951492558448&set=a.10150217040003448