ในประเทศที่มีการฉีดวัคซีนที่รุดหน้า มักมาพร้อมกับมาตรการผ่อนคลาย ที่ทำให้ชีวิตประชาชนเข้าสู่ภาวะปกติ ล่าสุด ศูนย์ควบคุมและป้องกันโรค (CDC) ของสหรัฐฯ ระบุว่า ผู้ที่ได้รับวัคซีนครบโดสแล้ว ไม่มีความจำเป็นจะต้องตรวจหาเชื้ออีก ถึงแม้ว่าจะมีประวัติใกล้ชิดผู้ติดเชื้อก็ตาม
มาตรฐานดังกล่าว ถูกประกาศโดย CDC หลังจากที่สถิติผู้ติดเชื้อ และอัตราการเสียชีวิตในสหรัฐฯ ลดลงอย่างต่อเนื่อง จากการที่สหรัฐฯ มีการฉีดวัคซีน ครอบคลุมประชาชนอย่างเป็นวงกว้าง โดยพวกเขามีอัตราผู้ที่ได้รับวัคซีน อย่างน้อยหนึ่งโดสแล้วเกือบ 40 เปอร์เซ็นต์ ของจำนวนประชากร
ถึงแม้ว่าผู้ได้รับวัคซีน จะมีโอกาสติดเชื้ออยู่เล็กน้อย แต่อาการของพวกเขาจะไม่หนัก และจะไม่เสี่ยงต่อการเสียชีวิต ผู้ชำนาญการในสหรัฐฯ ชี้ว่า ด้วยเหตุนี้ หากมีการตรวจหาเชื้อในผู้ที่ได้รับวัคซีนครบโดสแล้ว จะก่อให้เกิดความตื่นตระหนกโดยไม่จำเป็น และมันอาจทำให้กิจกรรมปกติ อย่างการไปโรงเรียน การไปทำงาน ต้องปั่นป่วนตามไปด้วย
CDC ระบุว่า นอกจากผู้ที่ได้รับวัคซีนครบโดส จะไม่ต้องทำการตรวจหาเชื้อแล้ว การคัดกรองหา COVID-19 กับผู้ได้รับวัคซีนครบโดสจึงสามารถละเว้นได้ อย่างเช่นในกรณีของสถานที่ทำงานต่างๆ โดยควรหันไปให้ความสนใจว่า ใครฉีดหรือยังไม่ฉีดวัคซีนมากกว่า
สหรัฐฯ มีรายงานตัวเลขการตรวจหาเชื้อกว่าวันละ 1 ล้านครั้ง โดยมีตัวเลขพุ่งสูงถึง 2 ล้านคน ในช่วงกลางเดือนมกราคม ค.ศ.2021 ที่ผ่าน ยังไม่นับรวมการตรวจหาเชื้อแบบ rapid test ตามบ้านและสถานที่ทำงาน ที่ประชาชนสามารถทำได้เอง ทั้งนี้ สหรัฐฯ สามารถรองรับการตรวจหาเชื้อได้ 500 ล้านครั้งต่อเดือน
“มันมาถึงจุดที่เราควรจะถามกับตัวเองจริงๆ ว่า มันยังเป็นประโยชน์กับการตรวจหาเชื้อจำนวนมากหรือไม่ ซึ่งมันก่อให้เกิดความขัดข้อง ความสับสนจำนวนมาก และผลกระทบต่อผลประโยชน์เชิงสาธารณสุขส่วนรวม” เดวิด พาทีล (David Paltiel) ผู้ชำนาญการด้านสาธารณสุข จากมหาวิทยาลัยเยลกล่าว หลังจากที่เขาเคยเป็นผู้สนับสนุนให้สหรัฐฯ มีการตรวจหาเชื้อแบบปูพรมให้ได้มากที่สุด
อ้างอิงจาก
https://jamanetwork.com/journals/jamanetworkopen/fullarticle/2768923
#Brief #TheMATTER