เป็นที่รู้กันดีอยู่แล้วว่า AI หรือปัญญาประดิษฐ์ ถูกนำมาใช้ในอุตสาหกรรมมากมาย ซึ่งรวมไปถึงแวดวงการแพทย์ด้วย การใช้เทคโนโลยีดังกล่าวอาจไม่ใช่เรื่องแปลกใหม่ หากแต่ในยุคที่เริ่มนำ AI เข้ามาใช้ในการแพทย์ มักใช้กับการทดลองรักษาผู้ป่วยเฉพาะกลุ่ม ไม่ได้นำมาใช้ผลิตยารักษาคนทั่วไป
แต่เมื่อนำมาใช้ผลิตยาและวัคซีนมากขึ้น ก็ได้รับความสนใจและเป็นที่นิยมอย่างแพร่หลาย แน่นอนว่าวัคซีนโควิดบางตัวก็นำเทคโนโลยี AI เข้ามาใช้เช่นกัน
เดวิด สมิธ รองประธาน Umass Memorial Health care ได้อธิบายความแตกต่างของการทดลองผลิตวัคซีนด้วยการวิเคราะห์เทคนิค predictive models กับเทคโนโลยี AI ว่า predictive models จะอิงตามข้อมูลเก่าและคาดการณ์สิ่งที่จะเกิดขึ้น ส่วน AI จะใช้ทั้งข้อมูลในฐานเดิมและตั้งสมมติฐานตามข้อเท็จจริงที่ประมวลผลมา ทำให้ได้ข้อสันนิษฐานที่ใกล้เคียงกับความเป็นจริงมากที่สุด
Pfizer เลือกประยุกต์เทคโนโลยี AI เข้ามาใช้ในการทดลองวัคซีนให้มีประสิทธิภาพ โดยลงทุนสร้างโครงข่ายดิจิทัลและติดตั้งระบบการทำงานปัญญาประดิษฐ์ เพื่อช่วยค้นหาข้อมูลทำวิจัย เดิมที Pfizer ได้นำ AI ของพาร์ตเนอร์เข้ามาใช้ในการผลิตวัคซีนอื่นๆ อยู่ก่อนแล้ว
เมื่อต้องผลิตวัคซีนโควิดนั้น ทางบริษัทใช้ระบบ machine learning ที่มีชื่อว่า Smart Data Query (SDQ) ซึ่งช่วยกรองและทบทวนงานวิจัยเกี่ยวกับประสิทธิผลวัคซีนที่มีอยู่ในฐานข้อมูลทั้งหมด ระบบใช้เวลาประมวลผลงานวิจัยเพียง 22 ชั่วโมง ก็ได้ข้อมูลวิจัยที่ต้องการและนำไปต่อยอดการทดลองในเวลาอันรวดเร็ว โดยไม่ต้องเสียเวลานานถึง 30 วันเมื่อเทียบกับการใช้แรงงานมนุษย์มานั่งอ่านและทบทวนงานวิจัยดังกล่าว
ครั้งนี้ Pfizer ลงทุนจัดโครงการ hackathon เพื่อเลือกพาร์ตเนอร์สำหรับนำเทคโนโลยีเข้ามาใช้โดยเฉพาะ โดยเชิญองค์กรที่มีชื่อด้านเทคโนโลยีหลากหลายระดับมาร่วมแข่งขัน ตั้งแต่สตาร์ทอัพ บริษัทยักษ์ใหญ่ ไปจนถึงหน่วยงานหรือบุคคลที่เชี่ยวชาญด้านนวัตกรรมงานวิจัยและการทดลอง โจทย์ของการแข่งขันคือพัฒนาเครื่องมือปัญญาประดิษฐ์ที่ค้นหาและทบทวนงานวิจัยทางการแพทย์ได้เร็วและมีประสิทธิภาพ และผู้ชนะก็คือ Saama Technologies บริษัทผลิตซอฟต์แวร์และแพลตฟอร์มวิเคราะห์งานวิจัยทางการแพทย์อันดับหนึ่งในแคลิฟอร์เนีย ที่ได้มาร่วมงานกับ Pfizer ในการผลิตวัคซีนรักษาเชื้อโควิด
Moderna ก็เป็นอีกองค์กรที่ลงทุนนำเทคโนโลยี AI เข้ามาใช้ในการผลิตวัคซีนโควิด โดยเลือกใช้ระบบคลาวด์ของ AWS หรือ Amazon Web Service เพื่อนำมาวิเคราะห์ข้อมูลในการวิจัยและรองรับการทำงานของ machine learning
ระบบคลาวด์ของ AWS มีส่วนช่วยในการสร้างตัวอย่างวัคซีน mRNA-1273 ที่ต้านเชื้อโควิดออกมา ซึ่งใช้เวลา 42 วันหลังจากวิเคราะห์ตัวเชื้อไวรัสได้ ส่งผลให้ชื่อของ Moderna มักปรากฏขึ้นมาเป็นลำดับต้นๆ เมื่อผู้คนเสิร์ชหาว่า ‘Covid-19 vaccine’
หลักการทำงานของระบบคลาวด์จะแสดงให้เห็นกระบวนการทำงานของ mRNA ที่เข้าไปทำงานและกระตุ้นเซลล์ในร่างกายมนุษย์ ทำให้ได้เห็นการทำงานของวัคซีนอย่างรวดเร็วและมีข้อมูลเจาะลึกเพิ่มขึ้น อันนำไปสู่การออกแบบและจัดทำการทดลองต่อไป
นอกจากนี้ AI ยังมีส่วนช่วยในการทดลองวัคซีนกับเชื้อไวรัสที่กลายพันธุ์อีกด้วย กลุ่มนักวิจัยจาก USC ได้คิดค้นและพัฒนาเทคโนโลยี AI เพื่อวิเคราะห์การกลายพันธุ์ของเชื้อไวรัสแต่ละสายพันธุ์ รวมทั้งระบุวัคซีนที่ยับยั้งเชื้อนั้นๆ ได้ดีที่สุด ทำให้นักวิจัยลดภาระงานและระยะเวลาในการทดลองที่กินเวลาเป็นเดือนหรือเป็นปี เหลือเพียงไม่กี่นาทีเท่านั้น
และนี่ก็เป็นอีกก้าวสำคัญของการนำนวัตกรรมเข้ามาใช้ในแวดวงการแพทย์และการผลิตยา นอกจากจะช่วยทำกำไรให้กับบริษัทและก้าวนำหน้าคู่แข่งในแวดวงเดียวกันแล้ว ยังส่งผลดีต่อคนทั่วไป เพราะช่วยให้ค้นพบตัวยาที่ช่วยชีวิตคนได้ทันท่วงทีในช่วงเวลาวิกฤตอีกด้วย
อ้างอิงจาก:
https://www.techrepublic.com/…/how-ai-is-being-used…/
https://www.techrepublic.com/…/how-ai-is-helping-find…/
https://www.breakthroughs.com/…/how-novel-incubation…
https://www.analyticsinsight.net/artificial-intelligence…/
https://awsinsider.net/…/moderna-taps-aws-for-covid19…
https://news.usc.edu/…/artificial-intelligence-ai…/
Content by Piyawan Chaloemchatwanit
#Brief #business #TheMATTER