ถึงเวลาต้องยอมรับว่าประเทศไทยเรากำลังเผชิญหน้ากับวิกฤตขาดแคลนบุคคลากรแพทย์ และเตียงสำหรับผู้ป่วย ไม่ว่าจะเป็นเตียงสามัญ หรือ ICU ผู้ติดเชื้อ COVID-19 บางส่วนถูกปล่อยให้นอนรอที่บ้านหลายวันกว่าจะได้รับการรักษา และบางส่วนไม่มีแม้แต่โอกาสจะได้รับการรักษา ก็จากไปเสียก่อน
เมื่อวานนี้ (1 กรกฎาคม) สาธิต ปิตุเตชะ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข (รมช.สธ.) เปิดเผยว่า ขณะนี้สถานการณ์เตียงในกรุงเทพฯ และปริมณฑลเข้าขั้นวิกฤต และจะยังเป็นแบบนี้ต่อไปอีก 7-14 วัน ซึ่งอาจทำให้มีผู้เสียชีวิตที่บ้าน เพราะรอเตียง
สาธิต กล่าวอีกว่า ตอนนี้ผู้ป่วยสีแดง 10 ราย จะสามารถหาเตียงให้ได้แค่ 2 ราย อีก 8 รายที่เหลือต้องรอเตียงมากกว่า 1 วัน ส่วนผู้ป่วยสีเหลือง ตอนนี้ในระบบมีประมาณ 500 ราย มี 200 กว่ารายที่ต้องรอเตียงเกิน 2 วัน และผู้ป่วยสีเขียว ตอนนี้มีการติดต่อขอรับเตียงประมาณ 1,641 คน มี 783 คน หรือเกือบครึ่งหนึ่ง ที่ต้องรอนานเกิน 3 วัน
ขณะที่ นพ.ธงชัย กีรติหัตถยากร รองปลัดกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) กล่าวในที่ประชุมที่มีการชี้แจงถึงการนำอายุรแพทย์ 4 สาขาจบใหม่ มาช่วยเสริมทัพสาธารณสุขที่ขาดแคลนบุคคลากรในตอนนี้ ว่า “สถานการณ์ กทม. และปริมณฑล อยู่ในขั้นสีแดงวิกฤต เตียง ICU ไม่มีเลย แพทย์เอาไม่อยู่แล้วจริงๆ เราไม่อยากเห็นคนไข้นอนตายที่บ้านอีกแล้ว”
วิกฤตเตียงเต็มไม่ได้ส่งผลกระทบถึงผู้ป่วย COVID-19 ในกรุงเทพฯ เท่านั้น แต่ยังส่งผลให้เกิดการแพร่กระจายไปหลายๆ จังหวัด ผู้ป่วยที่ไม่ได้รับการจัดสรรเตียง หรือนำเข้าสถานที่กักกันโรค ก็ต้องดิ้นรนเพื่อให้ตัวเองรอดชีวิต บางคนเดินทางไปต่างจังหวัด แต่บางคนไม่มีทางเลือก ก็ต้องออกมาตั้งจุดนอนในที่สาธารณะ อย่างที่เราเห็นออกข่าวกันอยู่เรื่อยๆ
ด้วยตัวเลขผู้ติดเชื้อและผู้เสียชีวิตที่ทุบสถิติกันวันต่อวัน ทำให้แพทย์และผู้เชี่ยวชาญหลายคนออกมาเตือนว่า ประเทศไทย โดยเฉพาะพื้นที่กรุงเทพฯ จะเกิดการระบาดระลอก 4 เร็วๆ นี้ หากยังคุมสถานการณ์ไม่ได้
ดร.สันต์ ศรีอรรฆ์ธำรง อาจารย์พิเศษคณะบริหารการพัฒนาสิ่งแวดล้อมนิด้า โพสต์เฟซบุ๊กเมื่อวันที่ 30 มิถุนายนที่ผ่านมา บอกว่า หากดูกราฟตัวเลขผู้ติดเชื้อใหม่ จะพบว่า กรุงเทพฯ มีผู้ติดเชื้อใหม่สูงกว่าที่คาดการณ์ไว้มาก หรือพูดง่ายๆ ว่ากำลังเริ่มเข้าสู่ส่วนหัวของการระบาดระลอก 4 แล้ว
ถ้าภายใน 1 สัปดาห์นับจากนี้ (30 มิถุนายน) ยังไม่สามารถลดจำนวนผู้ติดเชื้อใหม่ได้ ต่อไปน่าจะคุมสถานการณ์ยากขึ้น ยิ่งกว่านั้นจะเกิดเหตุการณ์ผึ้งแตกรัง ประชาชนจะเริ่มเดินทางออกจากกรุงเทพฯ ทำให้ต่างจังหวัดที่เคยเป็นพื้นที่สีเขียว-สีขาว กลับมามีผู้ติดเชื้อสูงขึ้นอีกครั้ง
ส่วน ศ.นพ.มานพ พิทักษ์ภากร หัวหน้าศูนย์วิจัยการแพทย์แม่นยำ คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล ก็โพสต์เฟซบุ๊กเมื่อวันที่ 30 มิถุนายนว่า COVID-19 สายพันธุ์เดลต้าทำให้เกิดการแพร่ระบาดระลอกที่ 4 ในกรุงเทพฯ และปริมณฑลเร็วขึ้นกว่าที่คิดไว้ และหากดูจากบทเรียนที่เกิดขึ้นในสหรัฐฯ และสหราชอาณาจักร สัดส่วนของเดลต้าน่าจะเพิ่มขึ้น 50-60% ภายใน 2-3 สัปดาห์ข้างหน้า ซึ่งแน่นอนว่าจะส่งให้ผลให้ระยะนี้เห็นจำนวนผู้ป่วยใหม่เพิ่มสูงขึ้น (แต่จะไม่เพิ่มแบบก้าวกระโดด เพราะมีเพดานจำนวนที่ตรวจได้ต่อวัน)
หมอมานพยังกล่าวอีกว่า ในช่วงเวลาแค่สัปดาห์เดียว กรุงเทพฯ มีผู้ป่วยรายวันเพิ่มขึ้นถึง 77% ขณะที่ทั้งประเทศ มีผู้ป่วยหนักเพิ่มขึ้น 320 คน (+21%) และผู้ป่วย ICU เพิ่มขึ้น 94 คน (+22%) และถ้ามองย้อนกลับไปไกลอีกหน่อย ในเวลาแค่ 2 เดือน ประเทศเรามีผู้ป่วยหนักเพิ่มขึ้น 4.4 เท่า และผู้ป่วยใน ICU เพิ่มขึ้น 4.7 เท่า
ช่วงเดือนที่ผ่านมาเริ่มมีการแชร์ข้อความขอความช่วยเหลือหาเตียงให้ครอบครัว ภาพผู้ป่วยต้องกางเต็นท์นอนในที่สาธารณะ ภาพคนท้องต้องกักตัวบนรถ สิ่งเหล่านี้เป็นหลักฐานยืนยันว่าระบบสาธาณสุขของประเทศเรากำลังตกอยู่ในภาวะวิกฤตอย่างหนัก และอาจถึงขั้นล่มสลาย หากประชาชน รวมถึงแพทย์ยังไม่ได้รับการจัดสรรวัคซีนที่มีประสิทธิภาพในการสกัดไวรัสกลายพันธุ์อย่างเร็วที่สุด
หมอธงชัยได้กล่าวไว้ว่า “การดูแลผู้ป่วยต้องให้แพทย์นำการเมือง ถ้าเอาการเมืองนำแพทย์ สถานการณ์จะไม่ดีขึ้น” การจัดสรรวัคซีนก็เช่นกัน ประเทศของเราจะไม่สามารถไปต่อได้ หากประชาชนผู้ขับเคลื่อนเศรษฐกิจยังตกอยู่ในภาวะคับขัน และทางออกของวิกฤตนี้ ทั้งแพทย์ ผู้เชี่ยวชาญ และอีกหลายคน ต่างเห็นตรงกันว่า ต้องเริ่มที่การจัดวรรวัคซีนที่มี ‘คุณภาพ’ มาฉีดให้กับประชาชน เพื่อให้เกิดภูมิคุ้มกันหมู่โดยเร็วที่สุด
อ้างอิงจาก
https://www.hfocus.org/content/2021/07/22079
https://tna.mcot.net/social-729676
https://www.dailynews.co.th/politics/853745
https://web.facebook.com/suntpower/posts/6056834461023890
https://web.facebook.com/permalink.php?story_fbid=3765112566927732&id=100002870789106
https://web.facebook.com/manopsi/posts/10161058945528448