ภาพควันสีดำขนาดใหญ่พวยพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้าน่าจะเป็นภาพที่ชาวกรุงเทพฯ และสมุทรปราการหลายๆ คนสังเกตเห็นในวันนี้ นับตั้งแต่ช่วงเวลาตี 3 ได้เกิดเหตุเพลิงไหม้ที่โรงงานพลาสติกแห่งหนึ่งย่านซอยกิ่งแก้ว อ.บางพลี ก่อนจะตามมาด้วยแรงระเบิดจนทำให้บ้านเรือนที่อยู่ในแวกนั้นเสียหายไปไม่น้อย
นับตั้งแต่เช้ามืดจรดเย็นค่ำ เกิดอะไรขึ้นบ้างที่ซอยกิ่งแก้ว The MATTER จะมาสรุปให้ฟัง
- เมื่อเวลาประมาณ 03.10 น.ของวันนี้ เจ้าหน้าที่ดับเพลิงได้รับแจ้งเหตุไฟไหม้โรงงาน หมิงตี้ เคมิคอล จำกัด ซึ่งเป็นโรงงานผลิตโฟม และเมล็ดพลาสติก ทำให้ด้านในมีวัตถุไวไฟ และสารเคมีจำนวนมาก ส่งผลให้เพลิงลุกลามอย่างรวดเร็ว
- หลังจากเกิดเพลิงไหม้ได้ไม่ถึง 10 นาที ก็เกิดเหตุระเบิดอย่างรุนแรง จนทำให้บ้านที่อยู่ในรัศมีใกล้เคียงได้รับความเสียหาย กระจกแตก ประตูพัง และอีกมากมาย ขณะที่ประชาชนที่อยู่ห่างไกล อย่างเขตบางนา ลาดกระบัง บางบ่อ บอกว่าได้ยินเสียงดังสนั่นกลางดึก
- หลังเกิดเหตุเจ้าหน้าที่กู้ภัยของมูลนิธิร่วมกตัญญู และเจ้าหน้าที่ดับเพลิงได้เข้าไปช่วยเหลือพนักงาน รวมถึงเจ้าของโรงงานซึ่งเป็นชาวไต้หวัน โดยพนักงานคนหนึ่งเปิดเผยว่า ก่อนเกิดเหตุระเบิด ด้านในโรงงานมีพนักงานประมาณ 10 คนทำงานอยู่
- แต่ในระหว่างนั้นเกิดเหตุสารชนิดสไตรีนโมโนเมอร์เกิดรั่วไหล พนักงานจึงเร่งอพยพออกมา ก่อนจะเกิดเหตุระเบิดตามหลัง ทำให้พนักงานบางส่วนได้รับบาดเจ็บ และบางส่วนติดอยู่ด้านใน แต่เจ้าหน้าที่เข้าไปช่วยเหลือได้ทันเวลา
- เจ้าหน้าที่พยายามควบคุมเพลิงมาจนถึงรุ่นเช้า แต่ก็เอาไม่อยู่ แต่เนื่องจากด้านในเป็นวัตถุไวไฟ จึงมีการอพยพประชาชนที่อยู่ในรัศมี 5 กิโลเมตร ออกจากพื้นที่ เนื่องจากมีรายงานว่าเพลิงใกล้จะลุกลามไปถึงถังสารเคมี 2 หมื่นลิตรที่อยู่ใกล้เคียง ขณะที่ทางจังหวัดสมุทรปราการ มีคำสั่งประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินเหตุเพลิงไหม้ระดับ 5 ให้เจ้าหน้าที่และผู้ที่อยู่ในจุดเกิดเหตถถอนกำลังออก เนื่องจากไฟมีแนวโน้มลุกลามหนักขึ้น
- แต่ระหว่างนั้น ได้เกิดสารเคมีรั่วไหล ไฟปะทุขึ้นอีกครั้ง ทำให้เจ้าหน้าที่ดับเพลิงที่กำลังปฏิบัติภารกิจถูกไฟครอก จนผู้บาดสาหัส 3 ราย และเสียชีวิต 1 ราย
- สถานการณ์ยิ่งตึงเครียดขึ้น หลังมีรายงานผู้เสียชีวิต กิติศักดิ์ พวงบุบผา ประธานชมรมบรรเทาภัยเฉพาะกิจกรุงเทพมหานคร จึงได้หารือกับทีมกู้ภัยเพื่อหาแนวทางยุติเพลิงไหม้โดยเร็ว ซึ่งมีการสรุปให้ใช้โฟมเข้ามาช่วยควบคุมเพลิงแทนน้ำ และประสานให้ทางสมุทรปราการนำเฮลิคอปเตอร์ดับไฟทางภาคอากาศ
- ซึ่งจุดนี้เองที่กลายเป็นประเด็นที่ถูกวิพากษ์วิจารณ์ หลังพบว่ามีเฮลิคอปเตอร์กู้ภัยเพียง 2 ลำที่ถูกส่งมาช่วยเหลือ อีกทั้งยังมีการตั้งข้อสังเกตว่า เกิดเหตุเพลิงไหม้ตอนตี 3 แต่เฮลิคอปเตอร์กู้ภัยเพิ่งมาตอนเที่ยง ทำให้หลายคนมองว่าภาครัฐขาดความพร้อมในการเตรียมรับมือกับสถานการณ์ฉุกเฉินเช่นนี้
- อีกทั้งหลายฝ่ายตั้งคำถามถึงมาตรการความปลอดภัยของเจ้าหน้าที่ดับเพลิง รวมถึงความพร้อมของอุปกรณ์ป้องกันตัว ยังไม่เพียงแต่เท่านั้น ในช่วงที่สถานการณ์เพลิงยังไม่สงบ ยังมีการขอบริจาคน้ำ และเครื่องดื่มต่างๆ เพื่อนำมาให้เจ้าหน้าที่ดับเพลิง ยิ่งทำให้หลายฝ่ายมองว่า เพราะเหตุใดหน่วยงานของรัฐ หรือหน่วยงานท้องถิ่นจึงไม่มีการเตรียมพร้อมเพื่อสนับสนุนการปฏิบัติงานของเหล่าผู้เสี่ยงชีวิต
- อีกหนึ่งปัญหาที่หลายคนสังเกตเห็นจากเหตุการณ์นี้คือ ความพร้อมในการอพยพผู้คนออกจากพื้นที่ ตลอดวันที่ผ่านมามีการแชร์ภาพผู้คนเกาะกลุ่มยังจุดต่างๆ ภาพคนยืนเบียดกันในรถโดยสาร ทั้งที่สถานการณ์ COVID-19 เองก็ยังวางใจไม่ได้ ทำให้เกิดการวิพากษ์วิจารณ์ว่านอกจากคำสั่งอพยพแล้ว ไม่มีมาตรการใดๆ หรือจัดหาที่หลบภัยสำหรับรองรับประชาชนที่ได้รับความเดือดร้อนเลยหรือ?
- และอีกหนึ่งประเด็นถูกพูดถึงมากในวันนี้คือ Emergency Alerts หรือระบบเตือนภัยฉุกเฉินสำหรับแจ้งเตือนประชาชนให้รับรู้ข่าวสาร และหลีกเลี่ยงการเดินทางไปยังจุดต่างๆ ที่อาจเป็นอันตราย ซึ่งปัจจุบันไทยยังไม่มีการใช้ระบบนี้อย่างทั่วถึง อาศัยเพียงการประกาศในพื้นที่ท้องถิ่น และการกระจายข่าวตามสื่อต่างๆ ซึ่งอาจไม่เพียงพอสำหรับหลายคนที่เข้าไม่ถึงข้อมูลเหล่านี้ หลายฝ่ายจึงออกมาเรียกร้องให้รัฐพิจารณาเรื่องนี้อย่างจริงจัง โดยให้ดูเหตุการณ์นี้เป็นบทเรียนสำคัญ
- นอกจากประเด็นเรื่องอุปกรณ์ และเครื่องมือต่างๆ อีกหนึ่งสิ่งที่คนตั้งข้อสังเกตคือการที่โรงงานกับเขตชุมชนที่ตั้งอยู่ใกล้กัน และผังเมืองที่ไม่เอื้อต่อการอพยพผู้คนอย่างรวดเร็ว ซึ่งทั้ง 2 เรื่องนี้ไม่สามารถแยกออกจากกันได้เสียทีเดียว
ผู้สื่อข่าวจากสำนักข่าว Reporter Journey เปิดเผยว่า โรงงานที่เกิดเหตุเพลิงไหม้ตั้งอยู่บนพื้นที่สีแดง ซึ่งเป็นเขตพาณิชยกรรม โดยโรงงานแห่งนี้ตั้งมานานกว่า 30 ปี ก่อนความเจริญจะทำให้เกิดชุมชนและหมู่บ้านภายหลัง ทำให้เกิดปัญหาการใช้ผังเมืองผิดประเภท และเกิดการสร้างสิ่งปลูกสร้างขวางเส้นทางทางๆ ซึ่งมีส่วนทำให้เส้นทางสัญจรที่ควรจะมีมาก แคบลงไปด้วย
ขณะนี้ (18.30 น.) เหตุเพลิงไหม้ยังไม่สงบลง และมีการประกาศขยายรัศมีพื้นที่เสี่ยงภัย จาก 5 กิโลเมตร เป็น 10 กิโลเมตร เนื่องจากกระแสลมเปลี่ยนทิศทาง หากยังไม่สามารถควบคุมเพลิงได้เร็วๆ นี้ ขอให้ผู้อยู่ในพื้นที่ตรวจสอบข่าวสารอยู่เสมอ และสวมใส่หน้ากากอนามัยอย่างแน่นหนา เนื่องจากสารสไตรีนโมโนเมอร์ที่ถูกไฟไหม้เป็นสารก่อมะเร็ง ซึ่งอาจเป็นอันตรายต่อผู้ที่สูดดม
อ้างอิงจาก
https://www.matichon.co.th/local/news_2813088
https://mgronline.com/onlinesection/detail/9640000064925…
https://www.tnnthailand.com/news/local/84428/
https://www.bangkokbiznews.com/news/detail/947155
https://www.khaosod.co.th/breaking-news/news_6491868
https://www.khaosod.co.th/breaking-news/news_6491430