ช่วง 2-3 สัปดาห์ที่ผ่านมา สถานการณ์ COVID-19 ไทยเข้าขั้นวิกฤต ผู้ติดเชื้อพุ่งสูงขึ้นจนเกือบแตะหมื่นราย ทำให้เกิดปัญหาขาดแคลนเตียง ผู้ป่วยหลายคนต้องรอเตียงจากที่บ้านเป็นเวลานาน อาจารย์หมอซึ่งเชี่ยวชาญด้านปอดคนหนึ่ง จึงได้ออกมาแนะนำวิธีปฏิบัติตัวเบื้องต้น สำหรับผู้ที่มีอาการเชื้อลงปอด เพื่อให้สามารถประคองอาการตัวเองต่อไปได้ จนกว่าจะได้รับการรักษาในมือแพทย์
นพ.ธนีย์ ธนียวัน ผู้เชี่ยวชาญโรคปอด วิกฤตบำบัด และการปลูกถ่ายปอด ซึ่งเป็นแพทย์คนไทยในสหรัฐฯ ได้ทำคลิปวิดีโอแนะนำวิธีสังเกตตัวเอง และการปฏิบัติตัวเมื่อพบว่าตัวเองติด COVID-19 แล้วเชื้อลงปอด เพื่อช่วยประคองให้อาการทรงตัวได้นานที่สุด จนกว่าจะได้รับการจัดสรรเตียง
หมอธนีย์ ระบุว่า ก่อนจะเริ่มปฏิบัติตามข้อแนะนำต่างๆ ต้องเช็กก่อนว่า ผู้ป่วยมีภาวะเชื้อลงปอดจริงหรือไม่ ซึ่งวิธีการประเมินคร่าวๆ ทำได้ 2 วิธี ได้แก่
- ถ้าเคยทำกิจกรรมอะไรที่ไม่เหนื่อย เช่น การเดินไปมา การลุกยืน 2-3 ครั้ง แต่มาถึงวันนี้พบว่าเหนื่อยก็ให้สงสัยไว้ก่อนเชื้อได้ลงไปที่ปอดแล้ว
- ถ้ามีเครื่องวัดออกซิเจนก็สามารถนำมาตรวจได้ โดยคนปกติออกซิเจนจะอยู่ประมาณ 97-100% แต่ถ้าระดับออกซิเจนตกมาถึง 94% ถือว่าน่าจะมีปัญหา COVID-19 ลงปอดแล้ว
สำหรับคำแนะนำในการปฏิบัติตนเมื่อพบว่าเชื้อลงปอด หมอธนีย์ แนะนำไว้ 7 ข้อ ได้แก่
- การนอนคว่ำ หมอธนีย์อธิบายว่า โดยปกติปอดประมาณ 2/3 ส่วนจะอยู่ทางด้านหลัง การนอนหงาย ทำให้น้ำหนักตัวและนำ้หนักหัวใจกดทับปอด ส่งผลให้ปอดด้านหลังทำงานได้ไม่เต็มประสิทธิภาพ ถ้านอนคว่ำ จะทำให้ปอดทำงานดีขึ้น ปริมาณออกซิเจนในร่างกายที่ได้รับก็จะสูงขึ้น
สำหรับวิธีนอนคว่ำ แนะนำให้นำหมอนมารองด้านหน้าของลำตัว และกอดเอาไว้ จากนั้นหันหน้าไปทางด้านใดด้านหนึ่ง แต่สำหรับบางคนที่ไม่สามารถนอนคว่ำได้ ให้นอนตะแคงแทน จะเป็นทางด้านซ้ายหรือขวาก็ได้ ถ้าให้ดี แนะนำว่าแทนที่จะนอนตะแคงลงไปข้างใดข้างหนึ่งเลย ให้นอนเฉียงไปทางคว่ำหน้า จะได้ประโยชน์มากกว่าการนอนตะแคงตรงๆ
ในกลุ่มของคุณแม่ตั้งครรภ์จะมีข้อจำกัดเพิ่มขึ้นมาเล็กน้อย กลุ่มที่อายุครรภ์มากๆ หน้าท้องจะใหญ่ มดลูกจะไปเบียดเส้นเลือดดำใหญ่ ซึ่งเป็นตัวนำเลือดจากขา หรือตัวช่องท้องที่ใช้แล้ว กลับเข้าสู่หัวใจเพื่อนำไปฟอกที่ปอด ทำให้การไหลเวียนเลือดไม่ค่อยสะดวก และมีโอกาสเกิดลิ่มเลือด แล้วยิ่งในกรณีที่ป่วยเป็น COVID-19 โอกาสเป็นลิ่มเลือดยิ่งสูงขึ้นไปอีก เมื่อเทียบกับโรคอื่นๆ
ดังนั้น คนตั้งครรภ์ แนะนำให้นอนเอาด้านซ้ายลง เพราะการนอนตะแคงด้านซ้าย จะทำให้น้ำหนักของมดลูกไม่ไปกดทับเส้นเลือดดำใหญ่ตรงส่วนนั้น ทำให้เลือดไหลเวียนสะดวก แต่หากสามารถทำได้ ก็อาจจะนอนตะแคงด้านซ้ายให้ค่อนข้างคว่ำนิดนึง จะช่วยด้านการหายใจเรื่องปอด
- วิธีการป้องกันไม่ให้เกิดลิ่มเลือดอุดตัน เมื่อป่วยเป็น COVID-19 จะมีอาการอักเสบ และเกิดลิ่มเลือดอุดตันบริเวณต่างๆ ของร่างกายเยอะ โดยบริเวณที่มักจะอุดตันคือบริเวณขา ซึ่งเมื่อเกิดการอุดตันแล้วกลายเป็นก้อนเลือดขนาดใหญ่ มีโอกาสที่ก้อนเลือดจะเคลื่อนตัวไปบริเวณปอดและอุดตันในปอด ทำให้เกิดการหายใจล้มเหลว
วิธีป้องกันคือ หากต้องนอนคว่ำ ยังเดินไปไหนมาไหนไม่สะดวก แนะนำให้เคลื่อนไหวขา จะด้วยวิธีไหนก็ได้ เช่น การงอเข่าเข้า-ออก หรือการใช้การเหยียดปลายเท้าสุดๆ และการดึงเข้าหาตัวสุดๆ การทำแบบนี้ซ้ำๆ บ่อยๆ เป็นการช่วยให้เลือดไหลเวียนดี ไม่เกิดการนิ่งขังของเลือดและทำให้ลิ่มเลือดอุดตัน
- การดื่มน้ำมากๆ จะทำให้ร่างกายมีน้ำเพียงพอ เลือดไม่ข้นหนืด โอกาสเกิดลิ่มเลือดก็จะน้อยลง แล้วก็จะทำให้ร่างกายไม่ค่อยเพลียมาก ปริมาณน้ำที่แนะนำให้ดื่มคือ 2-2.5 ลิตรต่อวัน ไม่ควรดื่มเกิน 5 ลิตร เพราะจะเป็นอันตรายต่อร่างกาย เพราะการทานน้ำเปล่าที่ไม่มีเกลือแร่อยู่เลย จะทำให้เกลือแร่ในร่างกายเจือจางลงมาก และอาจจะทำให้เกิดอาการชัก
สำหรับคนที่ทานข้าวไม่ได้ แนะนำให้กินน้ำผสมเกลือแร่ แต่ถ้าหาไม่ได้ก็สามารถนำเกลือผสมกับน้ำ ในปริมาณที่ไม่เค็มมาก แล้วเติมน้ำตาลไปเล็กน้อย เพื่อเพิ่มพลังงาน เนื่องจากเวลาป่วย ร่างกายจะต้องการพลังงาน เกลือแร่ และน้ำ จะทำให้เราไม่เพลีย มีแรง เลือดไม่ข้นหนืด ทำให้การเกิดลิ่มเลือดยากขึ้น
- ยาประจำตัว ถ้ามียาประจำตัวแนะนำให้ทานต่อไป เพราะการขาดยามีโอกาสทำให้เกิดการกำเริบของโรค ทั้งนี้ มียาที่ต้องพิจารณาร่วมกับอาการป่วยเป็นพิเศษ 3 ตัว (**แนะนำให้ปรึกษาแพทย์โดยเฉพาะ**) ได้แก่
– ยากลุ่มขับปัสสาวะ หากช่วงที่ป่วย ดื่มน้ำไม่ค่อยได้ อาจจำเป็นต้องงดยา หรือลดปริมาณยาลงครึ่งหนึ่งเป็นอย่างน้อย
– ยากลุ่มลดความดันโลหิตสูง ผู้ป่วยเป็นความดันโลหิตสูง ควรวัดระดับความดันเป็นประจำ หากความดันต่ำ แล้วทานยาต่อไป อาจทำให้เกิดอาการช็อก หรือหัวใจหยุดเต้น แต่สำหรับผู้ป่วยคนไหนที่ไม่สามารถวัดความดันได้ ให้สังเกตการกินอาหารของตัวเอง ถ้ายังกินอาหารได้ปกติ สามารถทานยาต่อไปได้ แต่ถ้าเริ่มรู้สึกตัวว่ากินอะไรไม่ค่อยได้ ต้องลดยาก่อน โดยการลดต้องค่อยเป็นค่อยไป หากกินยากลุ่มนี้อยู่ 4 ตัว ก็อาจจะหยุดไป 1 ตัว
– ยาโรคเบาหวาน COVID-19 อาจทำให้เบาหวานกำเริบ ฉะนั้นการตรวจระดับน้ำตาลสม่ำเสมอเป็นเรื่องจำเป็นอย่างมาก แนะนำให้ตรวจ 4 เวลา ทั้งเช้า กลางวัน เย็น และก่อนนอน แล้วจดไว้ ถ้าน้ำตาลต่ำ แล้วใช้ยาอินซูลินอยู่ ก็อาจจะต้อง “งด” แต่ถ้าใช้ยากลุ่มที่เป็นยากินลดน้ำตาล อาจจะต้อง “ลด” ปริมาณยากลุ่มนั้นลง
ที่สำคัญคือต้องการเช็กระดับน้ำตาลเสมอ ถ้าเริ่มสูงเกิน 200 ก็กลับมาใช้ยาอินซูลินได้ แต่ถ้าอยู่ที่ประมาณ 100 ประกอบกับกินอาหารไม่ค่อยได้ก็ต้องงดไปก่อน เนื่องจากเป็นอันตรายต่อร่างกาย
- ยาต่างๆ จำพวกลดไข้ แนะนำให้กินเฉพาะยาพาราเซตามอล หรือไทลินอลเท่านั้น ยากลุ่มอื่นไม่แนะนำ โดยเฉพาะ Non-Steroidal Anti-Inflammatory หรือ NSAIDs (เอ็นเสด) เนื่องจากการกินยากลุ่มนี้ระหว่างป่วย COVID-19 อาจทำให้เกิดภาวะไตวายได้ ส่วนยาสมุนไพรต่างๆ เช่น กระชายขาว ฟ้าทลายโจร สามารถกินได้ แต่ต้องอยู่ในปริมาณที่กรมแพทย์แผนไทยกำหนด
- การเข้าห้องน้ำก็เป็นเรื่องสำคัญสำหรับผู้ที่ป่วย COVID-19 และมีภาวะเชื้อลงปอด ที่ผ่านมาเคยพบเคสผู้ป่วยลุกเดินไปเข้าห้องน้ำ เบ่งปัสสาวะ-อุจาระ แล้วหน้ามืดเป็นลม ถึงขั้นเสียชีวิต หมอธนีย์แนะนำให้ผู้ป่วยขับถ่ายจากข้างเตียงแทน ไม่เดินไปเข้าห้องน้ำไกล ส่วนใครที่มีอาการท้องผูก ให้กินยาระบายอ่อนๆ และทานน้ำเยอะๆ เพื่อจะได้ไม่ต้องเบ่ง
หมอธนีย์อธิบายว่าการเบ่ง จะทำให้ความดันในช่องทรวงอกเพิ่มขึ้น ลดปริมาณเลือดที่จะเข้ามาในหัวใจ ประกอบกับเลือดอาจจะไปเลี้ยงสมอง และส่วนต่างๆ ของร่างกายไม่เพียงพอ ซึ่งเป็นอันตรายต่อร่างกาย
- และข้อสุดท้ายที่สำคัญไม่แพ้กันคือ การหมั่นติดต่อกับครอบครัวและคนรอบข้างอยู่เสมอ เมื่อเป็นผู้ป่วย COVID-19 ทำให้ต้องกักตัวอยู่คนเดียว การคอยอัพเดตอาการต่างๆ จะช่วยให้ครอบครัวหรือคนดูแลสามารถคาดการณ์อาการ และให้ความช่วยเหลือได้ทันเวลา
ปัจจุบันมีผู้ป่วย COVID-19 หลายคนเสียชีวิตระหว่างรอเตียงจากที่บ้าน โดยยังไม่ได้รับการรักษา สร้างความหดหู่และเศร้าใจให้ทั้งกับคนในครอบครัว และคนรอบข้าง จนมาถึงตอนนี้ สถานการณ์ได้พิสูจน์แล้วว่า “การพึ่งพาตัวเอง” หรือ “การเริ่มที่ตัวเอง” ไม่ใช่คำตอบทั้งหมดของวิกฤตนี้ แต่การปฏิบัติตนที่ถูกต้องก็นับเป็นจุดเริ่มต้นที่ดี และอาจเพิ่มโอกาสรอดชีวิตให้กับใครหลายๆ คนได้ จนกว่าจะถึงเวลาที่ได้รับการจัดสรรเตียงอย่างเพียงพอสำหรับจำนวนผู้ป่วยทั้งหมด และจนกว่ารัฐบาลจะจัดสรรวัคซีนที่มีประสิทธิภาพ ป้องกันการป่วยหนัก และการเสียชีวิตมาให้ประชาชนทุกคนได้
อ้างอิงจาก
https://www.youtube.com/watch?v=phrV4gMhyIo&t=207s
https://www.matichon.co.th/local/quality-life/news_2823363