ในวันที่ตัวเลขผู้ติดเชื้อใหม่ยังยืนอยู่ที่หลักหมื่น และเสียชีวิตขึ้นหลักร้อย ผู้ป่วยเข้าไม่ถึงการรักษา บุคลากรการแพทย์อ่อนล้า ระบบสาธารณสุขใกล้ถึงขีดสุด แถมวัคซีนยังมาไม่เพียงพอ
ศูนย์ปฏิบัติการศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด-19 (ศปก.ศบค.) หรือ ‘ศบค.ชุดเล็ก’ ซึ่งมี พล.อ.ณัฐพล นาคพาณิชย์ เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) เป็นประธาน ได้เชิญตัวแทนสื่อมวลชนและสมาคมวิชาชีพสื่อเข้าหารือถึงมาตรการควบคุม COVID-19 รอบใหม่ ตามข้อกำหนดตาม พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ฉบับที่ 28 ซึ่งออกมาเช้ามืดวันที่ 18 ก.ค.2564 สาระสำคัญ คือการ ‘ล็อกดาวน์’ ในจังหวัดซึ่งเป็นพื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวด (สีแดงเข้ม) 13 จังหวัด ทั้ง curfew สามทุ่มถึงตีสี่ ลดการเดินทางที่ไม่จำเป็น ตั้งด่านคัดกรอง-จัดทีมสายตรวจ ให้ราชการทำงานจากบ้าน 100% ฯลฯ โดยจะให้มีผลตั้งแต่วันที่ 20 ก.ค.2564 เป็นต้นไป เพื่อชี้แจงทำความเข้าใจ และตอบสารพัดข้อสงสัย
The MATTER ก็ได้รับเชิญให้เข้าร่วมประชุมวงดังกล่าว ซึ่งจัดขึ้นที่สำนักงาน กสทช. ในวันอาทิตย์ที่ 18 ก.ค.2564 ใช้เวลาราวสามชั่วโมงครึ่ง (ระหว่างเวลา 14.00 – 17.30 น.) จึงขอสรุปสาระสำคัญมาให้ทุกคนได้อ่านกัน เพื่อความโปร่งใสว่าสื่อไปคุยอะไรกับรัฐ
และเพื่อให้ประชาชนได้เตรียมตัวรับสถานการณ์ COVID-19 ของประเทศไทยในระยะเวลาอันใกล้ ซึ่งเราขอสรุปสั้นๆ ว่า แนวโน้มคือยังไม่ ‘ดีขึ้น’ ในเร็วๆ นี้แน่
.
1.) ที่มา เราได้รับการติดต่อจากทีมงานของ กสทช. ซึ่งไปช่วยงาน ศปก.ศบค. ในช่วงเย็นวันศุกร์ที่ 16 ก.ค.2564 ว่าอยากชวนเข้าประชุมเพื่อให้สื่อได้สอบถามถึงมาตรการต่างๆ ของ ศปก.ศบค. ซึ่งจะปรับให้เข้มขึ้น หลังตัวเลขผู้ติดเชื้อ-ผู้เสียชีวิตพุ่งขึ้นทำ new high อยู่เป็นระยะ
ตอนแรก สถานที่นัดประชุมคือตึกสันติไมตรี ทำเนียบรัฐบาล ในเวลา 13.30 น. ของวันอาทิตย์ที่ 18 ก.ค.2564 แต่มีการทักท้วงว่า สถานที่ดังกล่าวใกล้เคียงกับการชุมนุมที่จะเกิดขึ้นในช่วงเวลาเดียวกัน
ราวเที่ยงของวันเสาร์ที่ 17 ก.ค.2564 ทีมงานของ กสทช.จึงติดต่อมาอีกครั้ง ขอย้ายสถานที่ประชุมไปเป็นสำนักงาน กสทช. ซอยพหลโยธิน 8 (ซอยสายลม) แทน
.
2.) ก่อนเข้าประชุม มีการให้ผู้จะเข้าร่วมประชุมทุกคนต้อง swab ด้วย Antigen Rapid Test (ไม่มีการแจ้งมาก่อน) อ้างว่าเป็นส่วนหนึ่งของมาตรการด้านสาธารณสุข เมื่อทราบผลเบื้องต้นว่าไม่มีใครติดเชื้อ จึงค่อยอนุญาตให้เข้าร่วมประชุม ที่หอประชุมใหญ่ของสำนักงาน กสทช. ได้
ผู้ร่วมประชุม: ฝั่งรัฐประกอบด้วยเลขาฯ สมช.ในฐานะผู้อำนวยการ ศปก.ศบค. อธิบดีกรมควบคุมโรค อธิบดีกรมการแพทย์ อธิบดีกรมอนามัย เลขาฯ สปสช. และทีมโฆษก ศบค. – ฝั่งสื่อจะประกอบด้วยตัวแทนสถานีโทรทัศน์เกือบทุกช่อง ตัวแทนองค์กรวิชาชีพสื่อ 6 องค์กร และตัวแทนสื่อออนไลน์บางสำนัก เช่น BBC Thai, สำนักข่าวอิศรา, หมอแล็บแพนด้า, WorkpointTODAY, The Standard, The Reporters และ The MATTER
.
3.) ช่วงต้น นพ.โอภาส การย์กวินพงศ์ อธิบดีกรมควบคุมโรคอธิบายถึงสถานการณ์ COVID-19 ว่า เราเพิ่งรู้จักโรคนี้มาปีครึ่ง เชื้อไวรัสมันกลายพันธุ์ตลอดเวลา ความรู้ที่เชื่อว่าถูกเมื่อวาน วันนี้อาจจะไม่ถูกแล้วก็ได้ ปัจจุบันยอดผู้ติดเชื้อสะสมทั่วโลกมากกว่า 190 ล้านคน หลายประเทศที่เคยมียอดผู้ป่วยใหม่น้อยตอนนี้ก็กลับมาเพิ่มขึ้นอีก เช่น อังกฤษ อิสราเอล หรือหลายๆ ชาติในอาเซียน เช่น อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ มาเลเซีย สำหรับไทยที่ยอดผู้ติดเชื้อใหม่หลักหมื่นติดกันหลายวัน หากไม่ทำอะไรจะเป็นอย่างนี้ไปอีกพักใหญ่ จึงต้องออกมาตรการต่างๆ มา ‘กด’ ยอดผู้ติดเชื้อใหม่
“มันไม่มีวัคซีนวิเศษที่ลดการติดเชื้อได้ 100% แค่ช่วยกันหนัก-กันตายได้ ปัจจุบันได้รับการพิสูจน์แล้วว่าไม่มีวัคซีนไหนดีกว่าตัวไหนอย่างชัดเจน” อธิบดีกรมควบคุมโรคกล่าว
ซึ่งคำพูดที่ว่า “..ไม่มีวัคซีนไหนดีกว่าตัวไหนชัดเจน..” ของ นพ.โอภาสจะถูกแย้งจากตัวแทนสื่อบางสำนักในภายหลังว่า ในช่วงวิกฤตเช่นนี้ ให้พยายามงดการสื่อสารข้อมูลที่ไม่เป็นจริง
.
4.) นพ.สมศักดิ์ อรรฆศิลป์ อธิบดีกรมการแพทย์ กล่าวถึงแนวคิดในการทำ home isolation กับ community isolation (หรือเรียกสั้นๆ ว่า HI กับ CI ซึ่งต่อไปเชื่อว่าหลายๆ คนน่าจะได้เห็นตัวย่อนี้ในข่าวมากขึ้น) ว่า เนื่องจากตัวเลขผู้ติดเชื้อใน กทม.และปริมณฑล ณ ปัจจุบัน 77% เป็นกลุ่มผู้ป่วยสีเขียว คือไม่มีอาการหรือมีอาการน้อยมาก อยากให้ไปอยู่ HI หรือ CI จะช่วยให้ hospitel มีเตียงว่างเพียงพอที่จะรองรับผู้ป่วยที่มีอาการมากกว่าได้ ทั้งนี้ การจะใช้ HI หรือ CI จะต้อง ‘สมัครใจ’ โดยจะมีแพทย์ออนไลน์มาให้คำปรึกษาและคอยวัดปริมาณอ็อกซิเจนอยู่เรื่อยๆ หากลดลงกว่า 3% จะต้องนำมารักษาตัวที่โรงพยาบาล
.
5.) พล.อ.ณัฐพลเปิดชาร์ตโครงสร้างการทำงานของ ศบค.ทั้งหมดให้ดู เพื่อยืนยันว่าทำงานร่วมกันอย่างใกล้ชิด และก็ไม่ได้ดึงอำนาจจากรัฐมนตรีเจ้ากระทรวงมาทั้งหมด เอามาเฉพาะที่สำคัญๆ การที่มาตรการต่างๆ ออกมาอย่างกระชั้นชิด เพราะมีความจำเป็นต้องปรับตามสถานการณ์
เขายังกล่าวถึงมาตรการคุมโรคต่างๆ ว่า เพิ่มความเข้มข้นอย่างค่อยเป็นค่อยไป ทั้งนี้ก่อนจะออกมาตรการใดๆ จะคำนึงถึงสมดุลระหว่างการควบคุมโรคและผลกระทบทางเศรษฐกิจ โดย 16 เดือนที่ทำงานใน ศบค.ชุดเล็กมาก มีความภูมิใจ เพราะประชาชนส่วนใหญ่ให้ความร่วมมือ
“มันไม่มีตำราเก่าๆ ให้ทำตาม เราต้องแก้ปัญหาเฉพาะหน้าไป ถ้าประชาชนให้ความร่วมมือ เราจะไปได้ เอาอยู่! เราจะชนะ!” พล.อ.ณัฐพลกล่าว
.
6.) ผู้อำนวยการ ศบค.ชุดเล็ก ยังกล่าวถึงเบื้องหลังรายละเอียดมาตรการตามข้อกำหนดตาม พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ฉบับที่ 28 ที่จะเริ่มใช้ในวันอังคารที่ 20 ก.ค.2564
เช่น
- การ “ลดและจำกัด” การเดินทางกรณีที่ไม่จำเป้น ที่ใช้คำนี้ ไม่ได้ใช้คำว่า “ห้าม” เพราะการออกกฎใดๆ ต้องให้คนทำตามได้ ออกกฎให้คนทำตามไม่ได้ มันจะเสียสภาพการบังคับ
- เรื่อง curfew ระหว่าง 21.00-04.00 น. จริงๆ แล้วถ้าไปดู ห้วงเวลาจะมากกว่าการเคอร์ฟิวรอบแรก เดือน เม.ย.2563 ที่กำหนดไว้ระหว่าง 22.00-04.00 น.ด้วยซ้ำ โดยจะประเมินผลเป็นระยะ ไม่ต้องรอ 14 วัน อาจจะลดลงหรือเข้มขึ้นก็ได้
- การขนส่งสาธารณะจะลดจำนวนผู้โดยสาร หรือ load factor เหลือไม่เกิน 50% โดยรวมถึงการเดินทางด้วยเครื่องบินที่จะงดบินภายในประเทศกลางสัปดาห์นี้
- การให้ทำงานที่บ้าน หรือ work form home จะบังคับหน่วยงานรัฐทั้ง 100% ที่ไม่เกี่ยวข้องกับภารกิจจำเป็นหรือภารกิจบริหารประชาชน ส่วนเอกชนก็ขอความร่วมมือ
- ใน กทม.และปริมณฑล ซึ่งเป็นพื้นที่สีแดงเข้ม จะตั้งด่านเส้นทางข้ามจังหวัดอื่นๆ กับจังหวัดในพื้นที่นี้ รวมถึงจะตั้งทีมสายตรวจ โดยนายกรัฐมนตรีสั่งการให้ ผบ.ทหารสูงสุดนำทหารมาช่วยเหลือ หากจำเป็นจะเอาทหารจากต่างจังหวัดมาก็ได้
“มาตรการเหล่านี้เรียกว่าล็อกดาวน์ได้เลย เพราะนายกฯ ก็ใช้คำนี้ แต่ยังเป็นการล็อกดาวน์เชิงพื้นที่ ยังไม่ใช่การปิดเมืองแบบที่คนออกมาทำอะไรไม่ได้เลย” พล.อ.ณัฐพลกล่าว
.
7.) การชี้แจงของตัวแทนรัฐ 3 คนแรกใช้เวลาประมาณครึ่งชั่วโมง จากนั้นเป็นโอกาสที่ตัวแทนสื่อและองค์กรวิชาชีพสื่อจะตั้งคำถาม
หนึ่งในประเด็นที่ถูกถามมาก คือข้อห้ามในข้อกำหนดตาม พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ฉบับที่ 27 ที่ว่าด้วยการนำเสนอข่าวสร้างความหวาดกลัวที่แม้จะเป็นความจริงก็ผิดตาม พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ที่แม้ พล.อ.ณัฐพลจะยืนยันว่า มาตรการนี้ไม่ได้มุ่งใช้งานกับสื่อมวลชน แต่จะใช้กับบุคคลที่นำ fake news มาทำให้กระทบกับมาตรการคุม COVID-19
แต่ตัวแทนสื่อหลายๆ คนก็ยังแย้งว่า แค่คำยืนยันนี้ไม่เพียงพอ รัฐบาลตอนนี้มีปัญหาเรื่องความน่าเชื่อถือ (trust) หากยังมีมาตรการนี้อยู่ คนอาจนึกว่ามีอเจนด้าอะไรในการปกปิดข้อมูล ทั้งที่การจะสู้กับ COVID-19 ต้องการความร่วมมือจากประชาชน อยากให้ยกเลิกไปเลยจะดีกว่า
สุดท้าย พล.อ.ณัฐพลจึงแจ้งว่า ได้ส่งไลน์หาทีมงานของวิษณุ เครืองาม รองนายกฯ ด้านกฎหมาย พร้อมกับแนบแถลงการณ์ขององค์กรวิชาชีพสื่อ 6 องค์กร ไปเพื่อพิจารณาในการปรับปรุงแก้ไขต่อไป
.
8.) หนึ่งในคนที่ตกเป็นเป้าถูกตั้งคำถามมากที่สุดคือ นพ.โอภาส การย์กวินพงศ์ อธิบดีกรมควบคุมโรค ที่ตัวแทนสื่อและองค์กรวิชาชีพสื่อ สะท้อนมาว่าติดต่อได้ยากในช่วงเวลาที่ต้องการข้อมูล โดยเฉพาะวัคซีน COVID-19 ทั้งเรื่องการจัดหา จัดสรร และกำหนดการฉีดให้กับประชาชน
.
9.) นพ.โอภาสตอบในวงประชุมนี้หลายครั้ง เราขอสรุปให้อ่านกัน
จัดหา
- ยังยืนยันที่จะจัดหาวัคซีนในปี 2564 ให้ได้ครบ 100 ล้านโดสตามแผน
- AstraZeneca จะส่งให้ได้แค่เดือนละ 5-6 ล้านโดสเท่านั้น เพราะในสัญญาไม่มีกำหนดตัวเลขจัดส่งไว้ แต่ยังจะพยายามเจรจาให้ส่งมาให้ได้มากขึ้น โดยจะคุยกันเดือนต่อเดือน
- Pfizer จะลงนามจัดซื้อในวันที่ 19 ก.ค.2564 โดยซื้อ 20 ล้านโดส ไม่ใช่ 40 ล้านโดสที่เป็นเพียงข่าวลือ ที่จะมาในไตรมาสสี่ หลังลงนามจัดซื้อก็จะเจรจาขอซื้อเพิ่ม 50 ล้านโดส แต่ไม่รู้จะได้เมื่อไร ส่วนที่สหรัฐอเมริกาบริจาค 1.5 ล้านโดส จะมาในวันที่ 29 ก.ค.2564
- Sinovac ล็อตที่สั่งไปจะส่งมาครบในเดือน ส.ค.2564 หลังจากนั้นค่อยมาพิจารณาอีกทีว่าจะสั่งซื้อเพิ่มหรือไม่
- ระหว่างนี้จะพยายามเจรจากับซื้อวัคซีนอื่นๆ เช่น วัคซีนที่ใช้เทคโนโลยีผลิตด้วยโปรตีนซับยูนิต ที่มีการพัฒนาอยู่ในจีน คิวบา และยุโรป
( หมายเหตุโดย The MATTER : ยอดจัดหาวัคซีนที่น่าจะส่งมอบให้ไทยได้ในปี 2564 ประกอบด้วย AstraZeneca ลดเหลือ 30-36 ล้านโดส (ถ้ามาเฉลี่ยเดือนละ 5-6 ล้านโดส) จากยอดเดิม 61 ล้านโดส, Sinovac 19.5 ล้านโดส (เป้าหมาย 47.5 ล้านโดส แต่รอพิจารณาจะซื้อต่อหรือไม่), Pfizer 20 ล้านโดส และ Johnson&Johnson 5 ล้านโดส รวม 76.5-80.5 ล้านโดส ทั้งนี้ ยังไม่รวมถึงวัคซีนทางเลือก เช่น Sinopharm ของราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์ และ Moderna ของสมาคม รพ.เอกชนกับสภากาชาดไทย )
จัดสรร
การกระจายวัคซีนจะขึ้นอยู่กับข้อตกลงระหว่างหน่วยงานต่างๆ แต่ตอนนี้ยังยึด 3 เหตุผลหลัก 1.) กลุ่มเสี่ยง เช่น ผู้สูงอายุและผู้ป่วย 7 โรคเรื้อรัง 2.) แบ่งตามโควต้า และ 3.) เหตุผลอื่นๆ เช่น ภูเก็ต แซนด์บ็อกซ์
ส่วนการเปิดเผยข้อมูล วัคซีน COVID-19 ทั้งการจัดหาและจัดสรร ซึ่งกรมควบคุมโรคเคยเผยแพร่ข้อมูลนี้ไว้บนเว็บไซต์ แต่ก็ปิดไปตั้งแต่เดือน พ.ค.2564 นพ.โอภาสอ้างว่า มีการจัดทำ dashboard เตรียมแสดงข้อมูลนี้ไว้แล้วว่า จัดสรรไปที่ไหน กี่โดส ยี่ห้อละเท่าไร ใครที่อยากรู้สามารถเข้าไปดูได้ https://dashboard-vaccine.moph.go.th/ (สื่อหลายคนสะท้อนว่า เพิ่งเคยเห็น dashboard นี้เป็นครั้งแรกในที่ประชุม)
การฉีด
ภายใน 1-2 เดือนนี้จะเร่งฉีดให้ผู้สูงอายุกับผู้ป่วย 7 โรคเรื้อรังที่เป็นกลุ่มเสี่ยงก่อน เพราะคนเหล่านี้หากติด COVID-19 มีโอกาสจะเสียชีวิตสูง
เรื่องการฉีดวัคซีนสลับเข็ม หากฉีด AstraZeneca สองเข็ม แม้จะภูมิต้านทานขึ้นมากกว่า แต่ใช้เวลา 14 สัปดาห์ ในขณะที่ Sinovac + AstraZeneca ใช้เวลาเพียง 5-6 สัปดาห์เท่านั้น ลดระยะเวลาการทำให้ภูมิต้านทานขึ้นได้หลายสัปดาห์
.
10.) อู่ฮั่นโมเดล? นพ.โอภาสยังสะท้อนถึงการ ‘ล็อกดาวน์’ รอบล่าสุดที่จะเริ่มใช้ว่า การใช้มาตรการเข้มงวดแค่ไม่กี่เดือน อาจจะช่วยกดตัวเลขได้ไม่มากนัก ถ้ายังไม่ดีขึ้นก็อาจต้องยกระดับเป็นมาตรการสูงสุด คือล็อกดาวน์ 100% ให้คนอยู่บ้านแบบไม่ต้องทำอะไรเลยเหมือนอู่ฮั่น แต่จะให้หยุดเชิงพื้นที่ ไม่ใช่หยุดหมดทั้งประเทศ
อธิบดีกรมควบคุมโรคยังบอกว่า ไตรมาสสาม (ระหว่างเดือน ก.ค.-ก.ย.2564) คงเน้นใช้มาตรการทางสังคม เช่น ล็อกดาวน์ก่อน แล้วเร่งฉีดวัคซีนให้กลุ่มเสี่ยง หากผู้ได้รับวัคซีนมีมากพอ และประชาชนปฏิบัติตามมาตรการของภาครัฐ ไตรมาสสี่ (ระหว่างเดือน ต.ค.-ธ.ค.2564) “สถานการณ์ก็น่าจะดีขึ้น”
นี่คือคำตอบเรื่อง best-case scenario หรือ ‘ฉากทัศน์ที่ดีที่สุด’ สำหรับประเทศไทย
.
11.) ในวงประชุมยังถามกันเรื่องปัญหาของ call center ที่โทรไม่ติด, เรื่องเตียงและการส่งต่อผู้ป่วย, เรื่องความสับสนต่อมาตรการ HI และ CI, เรื่องการจัดสรรยาบรรเทาอาการ เช่น ฟาวิพิราเวียร์, เรื่องการใช้ Antigen Rapid Test ตรวจเชื้อเบื้องต้น ฯลฯ บางคำถามตัวแทนสื่อบอกว่า ไม่ต้องตอบทันทีก็ได้แต่อยากให้สื่อสารกับประชาชนให้มากขึ้น
.
12.) The MATTER มีโอกาสคุยกับ นพ.โอภาส การย์กวินพงศ์ อธิบดีกรมควบคุมโรคหลังการประชุมเสร็จสิ้น ถึงทามไลน์การส่งมอบวัคซีน AstraZeneca เดือนละ 6-10-10-10-10-10-5 ล้านโดส ที่ปรากฎข้อเท็จจริงว่าไม่มีในสัญญาจองซื้อ/จัดซื้อ 61 ล้านโดส โดยเจ้าตัวยอมรับว่า เป็นความจริง ที่ทำทามไลน์เช่นนั้นออกมา เพื่อกดดันให้ทาง AstraZeneca ส่งมอบวัคซีนตามจำนวนที่เราต้องการมาให้ แต่เมื่อไม่ได้ตามเป้า ก็ต้องมาเจรจากันเดือนต่อเดือน
ส่วนที่เซ็นสัญญาจัดซื้อวัคซีน AstraZeneca ล็อตหลัง 35 ล้านโดสล่าช้า ทั้งที่มีมติ ครม.ให้จัดซื้อตั้งแต่เดือน มี.ค.2564 แต่เซ็นสัญญาตั้งเดือน พ.ค.2564 นพ.โอภาสอ้างว่าเกิดจากขั้นตอนการพิจารณาสัญญาที่ต้องรอบคอบทำให้ใช้เวลาถึง 2 เดือน
.
13.) นพ.โอภาสยังบอกว่า ความจริงแล้วเราเจรจาซื้อวัคซีนกับผู้ขายเจ้าต่างๆ อยู่ตลอด แต่ที่บอกไม่ได้ เพราะกลัวว่าถ้าให้ข้อมูลมากไป ทางผู้ขายอาจไม่ยอมขายให้เรา แต่หลังจากนี้จะเปิดเผยข้อมูลมากขึ้น (รอติดตาม) โดยเฉพาะการจัดทำ dashboard แสดงข้อมูลเกี่ยวกับวัคซีน COVID-19 ที่ได้ ทั้งจัดซื้อแล้ว ส่งมอบแล้ว จัดสรรไปที่ไหนบ้าง และตัวเลขการฉีด หลังจากนี้จะเปิดเผยข้อมูลมากขึ้น และเปิดเผยข้อมูลตามจริง
.
14.) พล.อ.ณัฐพล นาควาณิชย์ เลขาฯ สมช. ในฐานะผู้อำนวยการ ศปก.ศบค. พูดปิดท้ายการประชุมว่า ในช่วงเวลาสองเดือนเศษก่อนเกษียณอายุ ตนจะทำงานอย่างเต็มที่เพื่อคลี่คลายวิกฤต COVID-19 และพร้อมรับฟังทุกๆ ความคิดเห็นจากสื่อมวลชน รวมถึงประชาชน
.
15.) นี่คือสรุปสิ่งที่พูดคุยกัน ในวงประชุมระหว่าง ศบค.ชุดเล็ก กับตัวแทนสื่อและองค์กรวิชาชีพสื่อ
#Explainer #TheMATTER