จากกรณีคอนโด Ashton Asoke ถูกศาลปกครองกลาง (ศาลชั้นต้น) มีคำสั่งเพิกถอนใบอนุญาตก่อสร้างของโครงการนั้น ทำให้มีผลย้อนหลังตามกฎหมาย หลายคนต่างจับตามองกันอย่างมาก เพราะโครงการดังกล่าวได้ก่อสร้างเสร็จ รวมทั้งทำสัญญาซื้อขายไปแล้ว
ทำไมศาลปกครองกลางถึงมีคำสั่งเพิกถอนใบอนุญาตก่อสร้าง The MATTER มาสรุปให้ฟังกัน
Ashton Asoke เป็นโครงการคอนโด High Rise สูง 50 ชั้น จำนวนห้องพัก 783 ยูนิต ดำเนินการโดยบริษัท อนันดา เอ็มเอฟ เอเชีย อโศก จำกัด โดยตัวโครงการตั้งอยู่บนทำเลถนนอโศกมนตรี ห่างจากรถไฟฟ้าใต้ดินสถานีสุขุมวิทเพียง 20 เมตร
เดิมทีได้มีการยื่นฟ้องระหว่างที่ก่อสร้างคอนโดอยู่แล้ว โดยกลุ่มชาวบ้านในพื้นที่รอบๆ คอนโดได้รวมตัวกันยื่นฟ้องต่อศาลปกครอง คู่กรณีที่ฟ้องนั้นประกอบด้วยผู้อำนวยการเขตวัฒนา สำนักโยธา กทม. และกรรมการ E.I.A. ไม่ได้ยื่นฟ้องกับบริษัทอนันดาฯ แต่อย่างใด
แม้ว่าประเด็นการฟ้องจะมีประมาณ 4-5 เรื่อง ซึ่งว่าด้วยเรื่องผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม เสียงจากการก่อสร้าง ตัวอาคารบังลม แดด หรือก่อให้เกิดเงาบดบังบ้านของชาวบ้านในละแวกนั้น และอื่นๆ แต่ศาลไม่ได้วินิจฉัยทุกเรื่องที่ยื่นฟ้อง เพราะเห็นว่าเป็นการยื่นฟ้องผิดศาล
ประเด็นที่ศาลปกครองกลางวินิจฉัยจึงมีอยู่ 2 ประเด็น ประเด็นแรกว่าด้วยเรื่องโครงการฯ ครอบครองพื้นที่สาธารณะ โดยผู้ฟ้องกล่าวว่าไซต์ก่อสร้างโครงการฯ เป็นพื้นที่ตัดผ่านของถนนสาธารณะ หากแต่ศาลตัดสินให้ฝั่งโครงการฯ ชนะไป เพราะหลักฐานที่ใช้ยื่นฟ้องนั้นถือว่าเก่าเกินไป ทำให้มีน้ำหนักไม่เพียงพอ
อีกประเด็นว่าด้วยเรื่อง ‘ทางเข้าออก’ ของโครงการฯ อันนำมาสู่คำสั่งเพิกถอนใบอนุญาตก่อสร้าง เดิมทีประเด็นนี้กลายเป็นข้อพิพาทมาตั้งแต่ปี 2561 แล้ว โดยทางสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) ได้ทำหนังสือถึง รฟม. ที่ให้สิทธิ บริษัท อนันดาฯ นำที่ดินของ รฟม. ไปใช้เป็นทางเข้าออกของโครงการ Ashton Asoke โดยไม่ผ่านเห็นชอบจาก ครม.
หากพิจารณากฎหมายว่าด้วยการก่อสร้าง ‘อาคารขนาดใหญ่พิเศษ’ ระบุให้คอนโดประเภท High Rise ต้องมีด้านใดด้านหนึ่งของที่ดินที่ติดถนนสาธารณะยาวไม่น้อยกว่า 12 เมตร และต้องยาวต่อเนื่องกันโดยตลอดจนถึงบริเวณที่ตั้งของอาคาร เพื่อให้มีพื้นที่กว้างขวางพอใช้เป็นทางเข้าออกของรถดับเพลิงได้
เมื่อพิจารณากรณีโครงการ Ashton Asoke แล้ว เดิมพื้นที่ของที่ดินที่ซื้อมาสำหรับสร้างคอนโดนั้นที่ดินที่ติดถนนสาธารณะนั้นกว้างเพียง 6 เมตร ซึ่งมีทางเข้าออกไปยังลานจอดรถของสถานีรถไฟใต้ดินสถานีสุขุมวิท แต่ความกว้างของพื้นที่ไม่ได้มากพอตามที่กฎหมายระบุไว้ ทางโครงการฯ จึงเจรจากับทาง รฟม. เพื่อขอขยายพื้นที่ทางออกดังกล่าวให้ได้ 12 เมตร โดยให้ค่าตอบแทนเกือบร้อยล้านบาท ก่อนจะนำไปสู่การออกหนังสือรับรองและก่อสร้างในเวลาต่อมา
ทว่า ศาลกลับวินิจฉัยให้ทางโครงการ Ashton Asoke เพิกถอนใบอนุญาตการก่อสร้าง โดยเห็นว่าการนำที่ดินของ รฟม. (ที่ให้ขยายทางออกได้ 12 เมตร) ไปรวมกับพื้นที่ของถนนโครงการฯ นั้นไม่สามารถทำได้ เพราะเดิมทีที่ดินของ รฟม. เป็นที่ดินเวนคืนจากชาวบ้านสำหรับนำมาใช้ประโยชน์ของกิจการรถไฟฟ้า การนำที่ดินไปใช้ขยายทางออกของโครงการฯ ถือเป็นการนำทางสาธารณะไปใช้เอื้อประโยชน์เพื่อเอกชนอย่างเดียว
เมื่อศาลพิจารณาไม่ให้พื้นที่ดังกล่าวกับทางโครงการฯ แล้ว หมายความว่า Ashton Asoke ไม่เข้าข่ายอาคารขนาดใหญ่พิเศษที่มีด้านใดด้านหนึ่งของที่ดินติดถนนสาธารณะเกิน 12 เมตร สำหรับใช้เป็นทางเข้าออกอาคารอย่างถูกต้องตามกฎหมาย จึงถือว่าใบอนุญาตก่อสร้างดังกล่าวเป็นโมฆะในที่สุด
ถึงอย่างนั้น ผู้บริหารโครงการ Ashton Asoke ในนาม บมจ. อนันดา ดีเวลลอปเมนต์ ได้ออกประกาศชี้แจงกรณีดังกล่าวเมื่อคืนที่ผ่านมา (30 ก.ค. 2564) โดยระบุว่า คำตัดสินเพิกถอนใบอนุญาตฯ นี้เป็นเพียงคำตัดสินจากศาลปกครองกลาง ทางองค์กรยังเห็นต่างจากคำตัดสินและข้อกฎหมายที่สำคัญ ทั้งนี้ จะให้สิทธิอุทธรณ์ไปยังศาลปกครองสูงสุด หมายความว่า คำตัดสินดังกล่าวจะยังไม่มีผลบังคับใช้จนกว่าจะมีคำตัดสินจากศาลปกครองสูงสุด โดยผู้อยู่อาศัยในโครงการฯ จะยังไม่ได้รับผลกระทบใดๆ
ต่อมาในช่วงเวลาประมาณ 16.00 น. ของวันนี้ (31 ก.ค.) ชานนท์ เรืองกฤตยา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.อนันดา ดีเวลลอปเมนต์ ได้ไลฟ์แถลงผ่านเฟซบุ๊ก Ananda Development ว่าตนและผู้บริหารทุกคนจะสู้อยู่เคียงข้างผู้บริโภคต่อไป โดยจะทำเรื่องยื่นอุทธรณ์ศาลปกครองสูงสุด โดยเชื่อมั่นว่ากระบวนการยุติธรรมจะคุ้มครองผู้ประกอบการที่ทำทุกอย่างอย่างสุจริตเช่นตน
นอกจากนี้ยังได้กล่าวเสริมว่า
“บริษัททำตามกฎหมายทุกประการ ประสานงานทุกหน่วยงานถูกต้องตามกฎหมาย อยากให้ผู้บริโภคสบายใจในภาวะนี้ เห็นใจหลายๆ คนนอนไม่หลับเช่นเดียวกับตนเอง จะใช้ความสามารถของตัวเองและทีมงานอย่างสุดฝีมือ ประสานงานกับสำนักกฎหมายเพื่อความยุติธรรมให้พวกเราทั้งหมด”
นอกจากนี้ยังกล่าวต่อไปอีกว่า ตนรู้สึกเห็นใจรัฐเช่นกัน เพราะกฎระเบียบของรัฐเองก็ซับซ้อน และตนยังเป็นอีกหนึ่งคนที่มีความหวังในประเทศ ทุกคนจึงต้องช่วยพัฒนาและเอาใจใส่ซึ่งกันและกันต่อไป เพื่อประโยชน์ส่วนรวมทั้งหมด
โดยได้ทิ้งท้ายอีกว่า ผู้บริโภคหรือลูกบ้านที่ต้องการติดต่อเข้ามานั้นสามารถติดต่อผ่านอนันดาเซ็นเตอร์ เฟซบุ๊ก หรืออีเมลของตนได้ที่ chanond@ananda.co.th และหวังว่าข้อความแถลงการณ์ดังกล่าวจะช่วยทำให้ทุกคนสบายใจ และขอให้ทางบริษัท อนันดาฯ ได้แก้ไขปัญหาต่อไป
ซึ่งท้ายที่สุดคดีนี้จะลงเอยอย่างไร ส่งผลต่อธุรกิจอสังหาริมทรัยพ์มากน้อยแค่ไหน เป็นเรื่องที่ต้องติดตามกันต่อไป
อ้างอิงข้อมูลจาก :
https://mgronline.com/stockmarket/detail/9640000074780
https://www.brandbuffet.in.th/…/ashton-asoke-appeal…/
https://www.estopolis.com/…/%E0%B8%81%E0%B8%8E%E0%B8%AB…
https://www.ddproperty.com/%E0%B8%84%E0%B8…/Ananda-24923
https://web.facebook.com/BrandInsideAsia/posts/5006108966082422
Content by Piyawan Chaloemchatwanit
#Brief #business #TheMATTER