“อาจส่งผลให้เจ้าหน้าที่รัฐปฏิบัติตามอำเภอใจ และกระทบถึงสิทธิและเสรีภาพของประชาชนซึ่งเป็นหลักพื้นฐานของการปกครองในระบอบประชาธิปไตย ข้อกำหนดฉบับนี้ยังให้อำนาจแก่เจ้าหน้าที่รัฐในการปิดกั้นการเข้าถึงอินเทอร์เน็ตของผู้ถูกกล่าวหาโดยไม่มีโอกาสชี้แจง”
.
ข้อความข้างต้น คือข้อความส่วนหนึ่งที่ กลุ่มนักวิชาการคณะนิเทศศาสตร์ วารสารศาสตร์และสื่อสารมวลชน ที่ประกอบด้วยนักวิชาการทั้งหมด 396 คนได้ออกแถลงการณ์ร่วมกัน เพื่อคัดค้านให้เรียกร้องให้รัฐบาลยกเลิกข้อกำหนดในสถานการณ์ฉุกเฉิน ที่ห้ามสื่อมวลชนและประชาชนทั่วไป นำเสนอข้อความหรือข่าวสารที่อาจทำให้เกิดความหวาดกลัว
.
โดยกลุ่มนักวิชาการคณะนิเทศศาสตร์ วารสารศาสตร์และสื่อสารมวลชน ที่ประกอบด้วยนักวิชาการทั้งหมด 396 คนได้ออกแถลงการณ์ร่วมกัน ในแถลงการณ์ได้ให้เหตุผลคัดค้านไว้ 3 ข้อ สรุปสาระสำคัญได้ดังนี้
.
1) กลุ่มนักวิชาการมองเห็นว่า ข้อกำหนดนี้มีความคลุมเครือ และอาจส่งผลให้เจ้าหน้าที่รัฐปฏิบัติตามอำเภอใจและกระทบถึงสิทธิและเสรีภาพของประชาชนซึ่งเป็นหลักพื้นฐานของการปกครองในระบอบประชาธิปไตย และให้อำนาจเจ้าหน้าที่ปิดกั้นการเข้าถึงอินเทอร์เน็ตของผู้ถูกกล่าวหา โดยที่ผู้ถูกกล่าวหาไม่มีโอกาสชี้แจง โต้แย้ง หรือร้องเรียนได้เลย
.
ซึ่งข้อกำหนดนี้ จะส่งผลให้ ประเทศไทยถูกมองว่ามีระบอบอันขาดธรรมาภิบาลและไม่เคารพสิทธิมนุษยชนในด้านการสื่อสารได้
.
2) ด้วยทรัพยากรที่มีจำกัดในการจัดการกับการระบาดอย่างร้ายแรงของโรค ประชาชนและภาคส่วนต่าง ๆ จำเป็นต้องอาศัยระบบอาสาสมัครในรูปแบบต่างๆ และการร่วมด้วยช่วยกันของปัจเจกบุคคลและองค์กรในการติดตามตรวจสอบความเป็นไปและให้ข้อเสนอแนะหรือข้อคิดเห็นต่อนโยบายหรือกิจกรรมต่าง ๆ ในการควบคุมโรค
.
การสังเกตการณ์จากพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดอาจไม่ได้ถูกต้อง เที่ยงตรงทั้งหมด แต่ก็ไม่ควรถูกกล่าวหาและประเมินค่าว่าเป็นข่าวปลอมหรือข้อมูลเท็จเสมอไป เพราะอาสามัครหรือผู้ที่อยู่ในสถานการณ์จำนวนมากอาจไม่ได้มีเจตนาที่จะสร้างข่าวปลอมหรือข้อมูลเท็จแต่ประการใด
.
เมื่อมีการออกข้อกำหนดที่คลุมเครือและมีโทษทางอาญากำกับอยู่ย่อมส่งผลในการสร้างบรรยากาศแห่งความกลัวและทำให้วัฒนธรรมอาสามัครและจิตวิญญาณในการร่วมด้วยช่วยกันต้องถูกสั่นคลอนไป นอกเหนือไปจากความรู้สึกไว้วางใจและศรัทธาของสาธารณะ (public trust) ต่อรัฐบาลในฐานะผู้ที่มีอำนาจตรงในการจัดการกับภาวะโรคระบาด
.
3) การกำกับดูแลตนเองทั้งในระดับผู้ใช้และผู้ให้บริการเนื้อหาออนไลน์เป็นแนวทางการกำกับดูแลเนื้อหาซึ่งเป็นที่ยอมรับและสอดคล้องกับพลวัตของแพลตฟอร์มสื่อสังคมออนไลน์มากที่สุด แทนที่รัฐบาลจะเสียทรัพยากรในการดำเนินคดีกับผู้ใช้สื่อออนไลน์ซึ่งมีสัดส่วนมากกว่าร้อยละ 65 ของประชากรทั้งหมด ควรจะเปลี่ยนไปใช้แนวทางการให้ความรู้ในการตรวจสอบข้อเท็จจริง (Fact-checking) หรือการสร้างวัฒนธรรมความรู้เท่าทันสื่อและข่าวสารดิจิทัล (Digital Media and Information Literacy) มากกว่าเพราะจะสามารถติดอาวุธและเสริมพลังให้ผู้ใช้ได้ในระยะยาว
.
นอกจากนี้ยังอาจใช้วิธีการรณรงค์ไม่ให้มีผู้ลงโฆษณาสนับสนุนทางการเงินเพื่อตัดเส้นทางรายได้ของสื่อหรือผู้ให้บริการเนื้อหาออนไลน์ที่ขาดจริยธรรมและนำเสนอเนื้อหาปลอม เป็นเท็จ และบิดเบือนมากกว่าการใช้กฎหมายเป็นเครื่องมือในการดำเนินคดีอาญาแก่ประชาชน
.
.