โลกร้อนเป็นปัญหาที่เราได้ยินกันมานานกว่า 10 ปี เป็นปัญหาที่ทุกคนต่างตระหนักรู้ แต่ไม่เคยแก้ไขมันได้อย่างจริงจัง ในช่วงที่ผ่านมาเราเจอทั้งปัญหาไฟป่า น้ำท่วม อากาศร้อนขึ้นผิดปกติ ปรากฏการณ์เหล่านี้ล้วนเป็นส่วนหนึ่งของภาวะเปลี่ยนแปลงของภูมิอากาศ
รายงานของคณะกรรมการระหว่างรัฐบาลว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศ (IPCC) องค์การสหประชาชาติ (UN) ได้ตรวจสอบการเปลี่ยนแปลงทางภูมิอากาศตั้งแต่ปี ค.ศ.2013 ก่อนจะพบว่า อุณหภูมิของโลกเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วมากขึ้นในช่วง 50 ปีที่ผ่านมา นับตั้งแต่ ค.ศ.1970 และภาวะโลกร้อนนี้ได้ส่งผลกระทบต่อทุกพื้นที่ในโลก
ภาวะโลกร้อนที่โลกกำลังเผชิญหน้าทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของระบบสนับสนุนตัวเองของโลก ซึ่งไม่สามารถแก้ไขหรือทำให้กลับเข้าสู่ภาวะดังเดิมได้ภายในหลายร้อยปีหรือหลายพันปี น้ำทะเลในมหาสมุทรจะยังคงอุ่นขึ้น และมีความเป็นกรดมากขึ้นเรื่องๆ ธารน้ำแข็งบนภูเขาและขั้วโลกก็จะละลายต่อไปอีกหลายสิบปีหรือหลายร้อยปีข้างหน้า
ศ. เอ็ด ฮอว์คินส์ จากมหาวิทยาลัยเรดดิง สหราชอาณาจักร หนึ่งในผู้เขียนรายงาน IPCC บอกว่า ผลกระทบที่ตามมาหลังจากนี้จะเลวร้ายลงเรื่อยๆ และไม่มีวันหวนกลับสู่ภาวะปกติได้อีก
ในรายงานของ IPCC สรุปข้อมูลเชิงสถิติได้ว่า ในช่วง ค.ศ.2011-2020 พื้นผิวของโลกมีอุณหภูมิสูงขึ้น 1.09 องศาเซลเซียสเมื่อเทียบกับปี ค.ศ.1850-1900 และช่วง 5 ปีที่ผ่านมา นับเป็นช่วงที่โลกร้อนที่สุดนับตั้งแต่ ค.ศ.1850 นอกจากนี้ อัตราการเพิ่มขึ้นของระดับน้ำทะเลปัจจุบันยังเพิ่มขึ้นเกือบ 3 เท่าเมื่อเทียบกับปี ค.ศ.1901-1971
รายงานของ IPCC ยังบอกอีกว่า ปรากฏการณ์สภาพอากาศร้อนสุดขั้น และการเกิดคลื่นความร้อนต่างๆ นั้นเกิดขึ้นบ่อยครั้งและรุนแรงมากขึ้นนับตั้งแต่ปี ค.ศ.1950 ขณะที่ปรากฏการณ์เกี่ยวกับความเย็นเกิดน้อยลง และการทำกิจกรรมของมนุษย์ยังเป็นปัจจัยหลัก (90%) ที่ทำให้เกิดการละลายของธารน้ำแข็งทั่วโลกตั้งแต่ช่วง ค.ศ.1990
อันโตนิโอ กูเตร์เรส เลขาธิการสหประชาชาติบอกว่า นี่คือ “รหัสแดง” หรือภาวะฉุกเฉินของมนุษยชาติ แต่หากทั่วโลกร่วมมือกันตั้งแต่ตอนนี้ อาจจะสามารถหลีกเลี่ยงการเกิดภัยพิบัติร้ายแรงได้ แต่ข้อมูลที่เปิดเผยในรายงาน บอกเราว่าต่อไปนี้ จะไม่มีเวลาและไม่มีที่ว่างสำหรับคำแก้ตัวที่จะหลีกเลี่ยงการปรับเปลี่ยนแนวทางและนโยบายเกี่ยวกับสิ่งแวดล้อมอีกแล้ว
ในรายงานของ IPCC ยังคาดการณ์ผลกระทบที่จะเกิดขึ้นในอนาคตไว้อีกด้วย โดยบอกว่าภายในปี ค.ศ.2040 อุณหภูมิโลกจะสูงขึ้นถึง 1.5 องศาเซลเซียสเมื่อเทียบกับช่วง ค.ศ.1850-1900 และจะส่งผลให้เกิดเหตุการณ์รุนแรงอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน
มหาสมุทรอาร์กติกจะแทบไม่เหลือน้ำแข็งเลยอย่างน้อย 1 ครั้งก่อนเดือนกันยายน ปี ค.ศ.2050 นอกจากนี้ยังมีความเป็นไปได้ที่ระดับน้ำทะเลจะเพิ่มขึ้น 2 เมตรภายในปี ค.ศ.2100 และเพิ่มขึ้น 5 เมตรภายในปี ค.ศ.2150 ซึ่งแน่นอนว่าจะส่งผลให้เกิดน้ำท่วมเมืองชายฝั่ง
อ้างอิงจาก
https://www.bbc.com/news/science-environment-58130705
https://www.thairath.co.th/news/foreign/2162300