“โจ้ๆ” คำเรียกอย่างเป็นกันเอง การเปิดโอกาสให้ผู้ต้องหาได้แก้ตัวผ่านงานแถลงข่าว และการรีบตัดบทด้วยน้ำเสียงหงุดหงิด หลังคนถูกถามเริ่มอึกๆ อักๆ ว่า หากนักข่าวถามเยอะๆ จะเสียรูปคดี หรือจะไม่ต้องฟ้องคดีเลยไหม! (แล้วมาให้แถลงข่าวทำไม) เมื่อวันที่ 26 ส.ค.2564
เป็นอีกเหตุการณ์ที่ทำให้คนในสังคมจำนวนคลางแคลงใจ ‘ตำรวจ’ ว่าจะดำเนินคดีกับ ผู้กำกับโจ้-พ.ต.อ.ธิติสรรค์ อุทธนผล อดีต ผกก.สภ.เมืองนครสวรรค์ ในคดีใช้ถุงดำคลุมหัวผู้ต้องหาคดียาเสพติดจนตายหาโรงพักอย่างตรงไปตรงมา เพื่อคืนความปลอดภัยให้กับสังคม (จากผู้มีอำนาจที่ชั่วร้าย) และคืนความยุติธรรมให้กับผู้เสียชีวิต ได้จริงหรือไม่
เอาเข้าจริง ความไม่ไว้วางในการทำคดีของตำรวจ ไม่ได้เกิดขึ้นครั้งแรก หนึ่งในคดีใหญ่ที่ The MATTER ขอหยิบมาเล่าให้ฟัง คือข่าวใหญ่ที่คนในเครื่องแบบสีกากี ทั้งที่ยังอยู่ในราชการและเกษียณไปแล้ว ไปร่วมขบวนการกับนักการเมือง ทนายความ และอัยการ เพื่อให้ผู้ต้องหารายหนึ่ง ‘หลุดคดี’
เชื่อว่าหลายๆ คนคงเคยได้อ่านข่าวคดีนี้ …คดีของ บอส-วรยุทธ อยู่วิทยา หลานของผู้ก่อตั้งแบรนด์เครื่องดื่มชูกำลังดัง
เกิดอะไรขึ้นบ้างในคดีนั้น โปรดติดตาม
1.) คดีของบอส อยู่วิทยา เกิดขึ้นเช้ามืดของวันที่ 3 ก.ย.2555 เมื่อเขาขับรถยนต์เฟอร์รารี่ชน ด.ต.วิเชียร กลั่นประเสริฐ ตำรวจ สน.ทองหล่อเสียชีวิตในทันที บนถนนสุขุมวิทขาออก ระหว่างซอยสุขุมวิท 47 กับ 49 โดยลากรถจักรยานยนต์ตราโล่ของ ด.ต.วิเชียรไปด้วยเป็นระยะทาง 160 เมตร ก่อนจะวิ่งเข้าไปหลบในบ้านพักส่วนตัว โดยมีรอยน้ำมันเครื่องไหลเป็นทางยาว
2.) กรณีนี้ของบอส อยู่วิทยา จะเป็น ‘มหากาพย์’ ความพยายามช่วยเหลือผู้ต้องหาจากหลายๆ ฝ่าย จนสุดท้าย เจ้าตัวได้หลบหนีออกนอกประเทศ และยังไม่ถูกนำตัวเข้าพิสูจน์ในกระบวนการยุติธรรมจนบัดนี้ เกือบ 9 ปีแล้ว
3.) รายงานสรุปของ ‘คณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายกรณีคำสั่งไม่ฟ้องคดีอาญาที่อยู่ในความสนใจของประชาชน’ ชุดที่มีวิชา มหาคุณ เป็นประธาน (แต่งตั้งมาตามคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรีที่ 225/2563) ได้สรุปการเข้าไปช่วยเหลือบอส อยู่วิทยาให้ ‘หลุดคดี’ ว่า “เกิดจากความร่วมมือกันอย่างเป็นระบบ..ในการเข้าแทรกแซงกระบวนการยุติธรรมมาอย่างต่อเนื่อง..ตั้งแต่ช่วงเริ่มต้นของการดำเนินคดีจนถึงปัจจุบัน”
โดยมีตัวละครสำคัญ ก็คือ ‘ตำรวจ’
ซึ่งข้อมูลที่จะเล่าต่อไปนี้ เกือบทั้งหมดนำมาจากรายงานสรุปของคณะกรรมการฯ ชุดวิชา ที่เผยแพร่ต่อสาธารณชนและสื่อมวลชน ช่วงปลายปี 2563
4.) #ตำรวจช่วยบอสอย่างไร1 หลังเกิดเหตุ สารวัตรปราบปราม สน.ทองหล่อ ได้สร้างพยานหลักฐานเท็จโดยนำตัวลูกจ้างของครอบครัวอยู่วิทยามามอบตัวรับสมอ้างว่าเป็นผู้ขับรถ
5.) #ตำรวจช่วยบอสอย่างไร2 แม้ต่อมาในวันเดียวกัน บอสจะยอมจำนนมามอบตัวต่อพนักงานสอบสวน แต่ก็อ้างว่า ความผิดส่วนหนึ่งเกิดจากตัว ด.ต.วิเชียรด้วย ทำให้พนักงานสอบสวนตั้งข้อหาอันเป็นเท็จและไม่ชอบด้วยกฎหมายให้ผู้ตายเป็น ‘ผู้ต้องหาร่วม’ ทั้งที่โดยหลักกฎหมาย จะตั้งข้อหาได้ต่อเมื่อบุคคลดังกล่าวยังมีชีวิตอยู่ โดยคณะกรรมการฯ ชุดวิชาเชื่อว่า การอ้างว่าผู้ตายประมาทด้วย เพื่อทำให้รูปคดีเอื้อประโยชน์ต่อการช่วยเหลือให้บอสพ้นผิด
6.) #ตำรวจช่วยบอสอย่างไร3 ในเบื้องต้น พนักงานสอบสวนตั้งข้อหาบอส รวม 5 ข้อหา แต่ไม่มีข้อหา ‘เสพยาเสพติดให้โทษ’ ทั้งที่มีข้อมูลทางนิติวิทยาศาสตร์พบสารแปลกปลอมในร่างกายผู้ต้องหาที่เชื่อมโยงกับโคเคนและการดื่มแอลกอฮอล์
7.) #ตำรวจช่วยบอสอย่างไร4 นอกจากนี้ ในข้อหา ‘ขับรถขณะเมาสุรา’ พนักงานสอบสวนยังเชื่อพยานฝ่ายผู้ต้องหา แม้จะขัดแย้งกับผลตรวจทางนิติวิทยาศาสตร์ จนเป็นเหตุในการสั่งไม่ฟ้องคดี โดยคณะกรรมการฯ ชุดวิชาเชื่อว่า พฤติการณ์นี้ต้องการช่วยผู้ต้องหามิให้ศาลพิพากษาลงโทษจำคุกโดยไม่รอลงอาญา และทำให้รูปคดีเอื้อประโยชน์ต่อการช่วยเหลือให้บอสพ้นผิด
8.) #ตำรวจช่วยบอสอย่างไร5 กว่าพนักงานสอบสวนจะส่งสำนวนให้อัยการ ก็ในวันที่ 4 มี.ค.2556 ซึ่งเกินกำหนดระยะเวลาหกเดือนนับแต่วันที่บอสได้รับการปล่อยตัวชั่วคราว แต่ตำรวจกลับไม่ไปขออำนาจฝากขังต่อศาล จนทำให้ผู้ต้องหาใช้เทคนิคทางกฎหมายประวิงเวลาและสามารถหลบหนีไปต่างประเทศได้ในเวลาต่อมา
9.) กรณีสั่งไม่ฟ้องข้อหา ‘ขับรถขณะเมาสุรา’ และการไม่ออกหมายจับบอส เพื่อให้ได้ตัวมาส่งอัยการ ทำให้ ป.ป.ช.ชี้มูลความผิดทางวินัยไม่ร้ายแรงกับตำรวจ รวม 7 คน
โดยหนึ่งในประเด็นที่ตำรวจกลุ่มคนนั้นโดยลงโทษ คือกรณีไม่นำผลคำนวณความเร็วรถยนต์ของบอสจากกองพิสูจน์หลักฐาน ที่ประเมินว่าน่าจะเร็วถึง 177 กิโลเมตร/ชั่วโมง ไปใส่ไว้ในสำนวนด้วย – ซึ่งประเด็นเรื่องความเร็วจะกลายเป็นอีกเรื่องใหญ่ในเวลาต่อมา
10.) หลังพนักงานสอบสวนส่งสำนวนให้อัยการ ในปี 2556 ทีมทนายความของบอส ก็ใช้วิธียื่นหนังสือขอความเป็นธรรมต่ออัยการครั้งแล้วครั้งเล่า จนทำให้ข้อหา ‘ขับรถเร็วเกินกว่าที่กฎหมายกำหนด’ และ ‘ขับรถโดยประมาททำให้ทรัพย์สินเสียหาย’ หมดอายุความในปี 2556 และข้อหา ‘ชนแล้วหนี ไม่หยุดรถให้ความช่วยเหลือ’ หมดอายุความในปี 2560
เหลือเพียงข้อหาเดียว คือ ‘ขับรถโดยประมาททำให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย’ ซึ่งมีอายุความถึงปี 2570
ที่แม้การยื่นขอความเป็นธรรมต่ออัยการ 13 ครั้งแรก จะไม่เกิดผลใดๆ ทั้งสิ้น ก็มาสำเร็จในครั้งที่ 14 นำไปสู่การสั่งไม่ฟ้องข้อหาสุดท้าย ที่มี ‘ตำรวจใหญ่’ เป็นตัวละครสำคัญที่เดินเรื่องอยู่เบื้องหลัง ดังจะกล่าวต่อไป
11.) #ตำรวจช่วยบอสอย่างไร6 ต้นปี 2559 มีบุคคลจำนวนหนึ่ง ไปนัดประชุมเพื่อเปลี่ยนความเร็วรถยนต์ของบอส จาก 177 กิโลเมตร/ชั่วโมง เหลือไม่ถึง 80 กิโลเมตร/ชั่วโมง ในห้องประชุมของหน่วยงานราชการแห่งหนึ่ง โดยในห้องนั้นนอกจากมีนักวิชาการ พนักงานสอบสวน สน.ทองหล่อ ตำรวจพิสูจน์หลักฐาน ทนายความ และอัยการ ยังมี ‘ตำรวจใหญ่’ อีก 2 นาย
โดยบันทึกถอดเทปคำพูดในวงประชุมวันนั้น คณะกรรมการฯ ชุดวิชาได้ระบุว่า ตำรวจใหญ่ทั้ง 2 คนนั้น มียศทั้ง ‘พลตำรวจเอก’ และ ‘พลตำรวจตรี’ (ยศขณะนั้น)
ที่น่าสนใจคือ มีการ ‘ลงวันที่เท็จ’ จากวันประชุมจริง วันที่ 29 ก.พ.2559 ไปเป็นวันที่ 26 ก.พ.2559 “เพื่อกันบุคคลบางคนให้ออกจากเรื่องนี้” เพราะในวันที่ 26 ก.พ.2559 นายตำรวจใหญ่บางคนยังอยู่ต่างประเทศ
12.) #ตำรวจช่วยบอสอย่างไร7 นอกจากใช้ช่องทางขอความเป็นธรรมกับอัยการ และข้อมูลใหม่เรื่องความเร็วรถบอสในวงประชุมลับ ก็มีการใช้กลไกคณะกรรมาธิการการกฎหมาย กระบวนการยุติธรรมและกิจการตำรวจ หรือ กมธ.ตำรวจ ของสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) เป็นอีกช่องทางในการเปลี่ยนพยานหลักฐานในคดี
โดยมี กมธ.ตำรวจบางคน ที่เคยเป็นนายตำรวจระดับสูง (ขณะนั้นเกษียณอายุราชการแล้ว) พยายามผลักดันข้อมูลความเร็วรถบอสใหม่ ที่ไม่ถึง 80 กิโลเมตร/ชั่วโมง ปรากฎอยู่ในรายงานการประชุม กมธ.ตำรวจ เมื่อวันที่ 16 ธ.ค.2559
13.) หลังความพยายามยาวนาน โดยที่มีบุคคลในอาชีพ ‘ตำรวจ’ เป็นตัวละครสำคัญในขบวนการ สุดท้าย รองอัยการสูงสุด ปฏิบัติราชการแทนอัยการสูงสุด ก็มีคำสั่งไม่ฟ้อง ‘ขับรถโดยประมาททำให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย’ ข้อหาสุดท้ายที่เหลืออยู่ของบอส เมื่อวันที่ 20 ม.ค.2563 หลังสั่งให้สอบพยานเพิ่มเติม 2 ปาก แม้จะเป็นพยานที่เคยสอบไปแล้วหลายครั้ง และถูกพิจารณาว่าเป็นพยานที่มีพิรุธ-ไม่น่าเชื่อถือ รวมถึงเชื่อข้อมูลการเปลี่ยนแปลงความเร็วรถ จาก 177 กิโลเมตร/ชั่วโมง เหลือไม่ถึง 80 กิโลเมตร/ชั่วโมง
14.) แต่ก็เช่นเดียวกับกรณีผู้กำกับโจ้ ใช่ว่าทุกคนในองค์กรตำรวจจะเห็นด้วยกับสิ่งที่เกิดขึ้น มี ‘ข้อมูลหลุด’ มาถึงสื่อมวลชนในเดือน ก.ค.2563 ว่าด้วยการสั่งไม่ฟ้องข้อหาสุดท้ายของบอส อยู่วิทยา จนเกิดกระแสต่อต้านจากคนในสังคมอย่างรุนแรง กระทั่งนายกรัฐมนตรียังต้องสั่งตั้งคณะกรรมการฯ ชุดของวิชา มาตรวจสอบข้อเท็จจริง
ขณะที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.) และสำนักงานอัยการสูงสุด ถูกกดดันให้ทำอะไรสักอย่าง จนต้องตรวจสอบการฟ้องคดี นำไปสู่การหาพยานหลักฐานใหม่ ทั้งเรื่องโคเคนและความเร็วรถ นำไปสู่การยื่นฟ้อง 2 ข้อหา ‘เสพโคเคน-ขับรถชนคนตายโดยประมาท’
แต่ข้อหาแรก หมดอายุความในปี 2565 ข้อหาหลัง หมดอายุความในปี 2570 ในขณะที่ยังไม่ชัดเจนว่า จะติดตามตัวบอสที่หนีไปต่างประเทศหลายปีแล้ว มาเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมได้อย่างไร
หมายจับที่เคยแสดงในเว็บไซต์ของ INTERPOL ก็หายไปพักใหญ่ๆ แล้ว
15.) และน่าเสียดายที่ตัวนายกฯ ขาดความกล้าหาญที่จะเปิดเผย ‘รายชื่อ’ กลุ่มบุคคลที่อยู่ในขบวนการช่วยเหลือให้บอส อยู่วิทยา หลุดคดี และทำได้แค่ส่งเรื่องให้ไปดำเนินการตามระบบ ที่อุ้ยอ้ายและล่าช้า แม้ ป.ป.ช.จะตั้งคณะทำงานมาไต่สวนแล้วก็ตาม
16.) กรณีบอส อยู่วิทยา ยังอยู่ในใจคนไทยจำนวนไม่น้อย กรณีของผู้กำกับโจ้ก็มาเกิดซ้ำอีก ซึ่งอันที่จริงแล้วน่าจะเป็นโอกาสที่ทาง สตช. จะได้เคลียร์ตัวเอง สร้างความน่าเชื่อถืออีกครั้ง ดังที่ พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผบ.ตร. เคยประกาศไว้ว่า องค์กรตำรวจอยู่ได้ด้วยความเชื่อถือจากประชาชน
แต่การแถลงข่าวหลังจับกุมสารวัตรโจ้ได้ กลับเป็นการเริ่มต้นที่ไม่ดีเท่าไร เพราะคนจำนวนมากมองว่า กรณีนี้อาจไม่ต่างกับ ‘ฉายหนังซ้ำ’
เมื่อมีโอกาสฟื้นความเชื่อมั่น ก็จงคว้าไว้ อย่าทำให้มันย่ำแย่ลงไปอีก
ยกเว้นแต่มีอะไรที่สำคัญไปกว่า ‘ความเชื่อถือจากประชาชน’
17.) ไม่ใช่ตำรวจทุกๆ คนจะเป็นคนไม่ดี ใครๆ ก็พูดได้ ถึงเวลาองค์กรตำรวจต้องพิสูจน์ตัวเอง
#Explainer #สารวัตรโจ้ #บอสอยู่วิทยา #TheMATTER