ดูเหมือนว่าสถานการณ์ของดีเวลลอปเปอร์อสังหาฯ ยักษ์ใหญ่ในจีนอย่าง Evergrande กำลังตกเป็นประเด็นร้อนที่นักลงทุน คนทำธุรกิจ ตลอดจนเหล่านักวิเคราะห์เศรษฐศาสตร์ต่างจับตามองและถูกพูดถึงอย่างมาก โดยเฉพาะในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมาจนถึงตอนนี้ เพราะวิกฤติที่ Evergrande กำลังเผชิญนั้นอาจส่งผลต่อเศรษฐกิจประเทศจีน ซึ่งสั่นสะเทือนเป็นวงกว้างต่อความมั่นคงทางเศรษฐกิจทั่วโลก
ผู้เชี่ยวชาญและนักลงทุนในหลายประเทศต่างวิเคราะห์สภาพการณ์ของ Evergrande ว่าจะเป็นไปอย่างไร จะเกิด domino effect ในวงการอสังหาฯ ของจีนหรือไม่ แล้วจะสร้างผลกระทบต่อทิศทางเศรษฐกิจในประเทศตัวเองอย่างไรบ้าง
The MATTER ได้รวบรวมข้อมูลและประเด็นสำคัญมาที่อธิบายถึงสาเหตุและผลกระทบมาไว้ให้แล้ว
Evergrande คือใคร ทำไมสำคัญต่อธุรกิจอสังหาฯ
หากกล่าวถึงบริษัทยักษ์ใหญ่ในแวดวงอสังหาฯ ของจีนแล้วนั้น ต้องมีชื่อ Evergrande ขึ้นมาเป็นอันดับต้นๆ เพราะเป็นดีเวลลอปเปอร์อสังหาริมทรัพย์ใหญ่อันดับสองของจีน และเป็นหนึ่งในบริษัทที่ใหญ่ที่สุดในโลก ดำเนินธุรกิจแบ่งออกเป็น 4 ส่วน ได้แก่ พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ ลงทุนอสังหาฯ บริหารจัดการอสังหาฯ และอื่นๆ ซึ่งครอบคลุมทั้งการก่อสร้าง บริการเกี่ยวกับการพัฒนาอสังหาฯ และโรงแรม ประกัน บริการทางการเงินแก่กลุ่มลูกค้าที่มีความมั่งคั่ง ยานยนต์ไฟฟ้า สินค้าอุปโภค และผลิตภัณฑ์การกีฬา
ความยิ่งใหญ่ของ Evergrande ขยายกว้างจนส่งผลให้บริษัทพัฒนาโปรเจกต์มากถึง 1,300 โปรเจกต์ ซึ่งกระจายอยู่ทั่ว 280 เมืองในจีน มีการจ้างงานลูกจ้างถึง 2 แสนคน แม้แต่ Goldman Sachs ยังกล่าวว่า สินทรัพย์ของ Evergrande คิดเป็นมูลค่าเทียบเท่า 2% ของ GDP ประเทศจีน ในขณะที่ Financial Times เคยรายงานไว้ว่า Evergrande ถือครองที่ดินที่มากพอจะครอบครองโปรตุเกสได้
ซู เจียหยิน ผู้ก่อตั้ง Evergrande ขึ้นมาเมื่อปี ค.ศ.1996 นั้น ได้นำเงินกำไรจากการดำเนินธุรกิจสร้างบ้านในช่วงรุ่งโรจน์ของบริษัทมาลงทุนมากมาย ซึ่งรวมทั้งลงทุนในทีมฟุตบอลกวางโจว บริษัทผลิตยานยนต์ และอื่นๆ อีกหลายอย่างในตอนนั้น ถึงอย่างนั้น ธุรกิจหลักอย่างการขายห้องชุดกลับต้องพึ่งเม็ดเงินจากการกู้ยืม ซึ่งคิดเป็นจำนวนเงินที่มากเกินกว่าจะทำรายได้ให้เทียบเท่ากับจำนวนหนี้ที่กู้มา กลายเป็นว่าปัจจุบัน Evergrande มีหนี้อยู่ทั้งหมด 3 แสนล้านดอลลาร์ฯ ในขณะที่มีเงินสดอยู่ในมือ 1 หมื่น 5 พันล้านดอลลาร์ ที่สำคัญ คู่ค้าที่ทำธุรกิจด้วยนั้นล้วนตกที่นั่งลำบากไปตามๆ กัน ตั้งแต่บริษัทออกแบบตกแต่ง โรงงานถลุงเหล็กเล็กๆ ไปจนถึงพวกเจ้าของบ้าน ดีลเลอร์ และสถาบันการเงินต่างๆ
ทำไม Evergrande ถึงเจอวิกฤติสภาพคล่อง
หากถามถึงต้นสายปลายเหตุของการเผชิญวิกฤติครั้งนี้ ต้องย้อนกลับไปถึงเส้นทางการทำธุรกิจของบริษัท ช่วงที่บริษัทกำลังขยับขยายและเติบโตนั้น ก็ได้ทำเรื่องกู้ยืมไว้มหาศาลจนทำให้ Evergrande กลายเป็นดีเวลลอปเปอร์ที่มีหนี้มากที่สุดในจีน โดยเป็นหนี้ประมาณ 300 แสนล้านดอลลาร์ฯ กับธนาคารแห่งประเทศจีน นักลงทุนต่างชาติ หรือแม้กระทั่งลูกจ้างของบริษัทเอง
โดยปีที่แล้ว รัฐบาลปักกิ่งได้มีการออกกฎใหม่ว่าด้วยการควบคุมด้านการลงทุน ส่งผลให้ Evergrande ต้องยอมขายอสังหาฯ ในราคาที่ต่ำมาก เพื่อดันให้ยังมีเงินไหลเวียนเข้ามาช่วยดำเนินธุรกิจต่อไปได้ แต่นั่นก็ไม่ได้ช่วยให้บริษัทมีเงินมากพอจะจ่ายดอกเบี้ยของก้อนหนี้ที่ก่อไว้ได้ เห็นได้จากราคาหุ้นที่ร่วงลงมาถึงประมาณ 85% ในปีนี้ รวมทั้งอันดับเครดิตหุ้นกู้ที่ลดลง
นอกจากนี้ Swiss bank ได้ประเมินว่าตัวเลขหนี้ของ Evergrande อาจแตะ 313 แสนล้านดอลลาร์ฯ ซึ่งคิดเป็น 6.5% ของภาระหนี้ทั้งหมดของภาคอสังหาฯ ในจีน
สิ่งที่น่าจับตามองก็คือ วันพฤหัสฯ ที่จะถึงนี้ Evergrande ต้องเตรียมจ่ายดอกเบี้ยให้กับบรรดาผู้ถือหุ้นกู้รายใหญ่ของบริษัท ซึ่งรวมไปถึง BlackRock, UBS และ HSBC รวมทั้งยังมีหนี้ที่จะถึงกำหนดจ่ายปลายเดือนนี้อีก แต่ดูเหมือนว่า Evergrande ไม่มีเงินสดที่จะจ่ายก้อนหนี้เหล่านั้น และหากบริษัทไม่สามารถจ่ายหนี้ได้ตามกำหนดภายใน 30 วัน ก็จะถือว่าผิดนัดชำระหนี้
ปรากฏการณ์ Evergrande จะส่งผลอะไรบ้าง
สาเหตุที่ผู้คนต่างให้ความสำคัญและจับตาดูสถานการณ์ของ Evergrande นั้น ก็เพราะผลกระทบของมันส่งผลต่อหลายภาคส่วน ตั้งแต่ระดับบุคคลจนถึงภาพรวมเศรษฐกิจ
แน่นอนว่าคนที่วางเงินซื้อบ้านกับดีเวลลอปเปอร์เจ้านี้คือผู้ได้รับผลกระทบอันดับต้นๆ เพราะพวกเขาต้องจ่ายเงินมัดจำไว้ก่อนทั้งที่โครงการก่อสร้างยังไม่เริ่มงานด้วยซ้ำ นี่เองที่อาจทำให้พวกเขาเสี่ยงสูญเงินเปล่าแถมไม่มีบ้านอยู่หากบริษัทไม่สามารถชำระหนี้ได้และต้องล้มละลาย
กลุ่มที่ได้รับผลกระทบต่อมาคือคู่ค้าที่ทำธุรกิจร่วมกับ Evergrande ไม่ว่าจะเป็นบริษัทก่อสร้าง บริษัทออกแบบตกแต่งบ้าน ซัพพลายเออร์จัดหาวัสดุอุปกรณ์ต่างๆ ที่เสี่ยงสูญเงินเปล่าและประสบภาวะล้มละลาย
ที่สำคัญ สิ่งที่นักลงทุนทั่วโลกต่างกังวลนั้นคือผลกระทบต่อระบบการเงินของจีน หาก Evergrande ไม่สามารถพยุงสถานะของบริษัทต่อไปได้ นั่นหมายถึงสัญญาณวิกฤติหนี้สินของภาคอสังหาฯ ในจีน รวมทั้งอาจก่อให้เกิดคลื่นล้มละลายระลอกแรก
อย่างแรก การที่ Evergrande ประสบภาวะเงินสดพัง หรือมีปริมาณเงินหมุนเวียนไม่พอนั้น ส่งผลให้ตลาดอสังหาฯ ในจีนทั้งหมดเกิดการชะลอตัว อัตราการจำนองบ้านสูงขึ้น ผู้ยื่นกู้เจอกฎที่เข้มงวดขึ้น นอกจากนี้ หาก Evergrande ไม่สามารถชำระหนี้ได้ตามกำหนด บรรดาผู้ให้กู้ทั้งหลาย ซึ่งรวมถึงสถาบันการเงินใหญ่ในจีนนั้นจะประสบภาวะกดดัน ส่งผลให้บริษัทอื่นๆ ที่ต้องการขอกู้กับสถาบันการเงินหรือผู้ถือหุ้นกู้ทำได้ยากยิ่งขึ้นไปอีก ทำให้เติบโตหรือขยับขยายกิจการไม่ได้ หรือร้ายที่สุดคือต้องยุติกิจการตามกันไป
แน่นอนว่า หากเกิดสถานการณ์ที่ว่าขึ้นจริง ย่อมหมายถึงสัญญาณวิกฤติการเงินที่เกิดขึ้นกับประเทศที่ได้ชื่อว่ามีเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับสองของโลก อันนำมาสู่ภาวะความไม่แน่นอนที่ก่อตัวเป็นวงกว้างไปทั่ว อย่างตอนนี้ตลาดหุ้นในสหรัฐฯ ปรับตัวลดลงมากสุดในรอบ 4 เดือน เพราะนักลงทุนต่างกังวลกับสภาพการณ์ของ Evergrande ที่ยังไม่รู้ว่าจะดำเนินไปต่ออย่างไร ในขณะที่ราคาคริปโตร่วงลงไป 7.6% ซึ่งเป็นราคาต่ำสุดตั้งแต่เดือน ส.ค. (ข้อมูล ณ วันที่ 21 ก.ย.)
ถึงอย่างนั้น ล่าสุด สวี่ เจียอิ้น ประธาน Evergrande คนปัจจุบัน ได้กล่าวให้คำมั่นสัญญาในการฝ่าฟันวิกฤติครั้งนี้ รวมทั้งจะรับผิดชอบต่อทุกภาคส่วน ทั้งลูกค้าที่ซื้อบ้าน ผู้ลงทุน คู่ค้า และสถาบันการเงินทั้งหมด แน่นอนว่านี่ก็เป็นเรื่องที่ต้องติดตามกันต่อไป ว่า Evergrandde จะแก้ไขปัญหานี้ไปได้อย่างไร
อ้างอิงข้อมูลจาก
https://www.cnbc.com/quotes/3333-HK
https://www.bloomberg.com/…/what-is-china-evergrande…
https://observer.com/…/evergrande-china-property-debt…/
https://www.bbc.com/news/business-58579833
https://www.barrons.com/…/china-evergrande-what-is-it…
https://www.posttoday.com/world/663671
https://www.posttoday.com/world/663677
Content by Piyawan Chaloemchatwanit
#explainer #TheMATTER