เป็นคดีที่รอคอยกระบวนการยุติธรรมมานานนับทศวรรษ กับกรณีการซ้อมทรมาน พลทหารวิเชียร เผือกสม ในค่ายทหารจังหวัดนราธิวาสจนถึงแก่ความตาย โดยล่าสุด ศาลมณฑลทหารบกที่ 46 ได้ประทับรับฟ้องต่อจำเลยในคดีนี้แล้ว
ร้อยโท ภูริ เพิกโสภณ กับพวกรวม 9 คน คือ กลุ่มผู้ถูกข้อกล่าวหา ตามความผิดฐานเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เป็นทหารไม่ปฏิบัติตามคำสั่งผู้บังคับบัญชา และฆ่าผู้อื่นโดยไม่เจตนา ทั้งนี้ ประเทศไทยยังคงไม่มีกฎหมายป้องกันการอุ้มหายและซ้อมทรมานใดๆ ในการพิจารณาความผิดดังกล่าว ที่กระทำต่อพลทหารวิเชียรได้
ย้อนกลับไปเมื่อ 10 ปีก่อน พลทหารวิเชียร ได้สมัครเข้ารับราชการในทหารกองประจำการ ผลัดที่ 1/2554 สังกัด ร.151 พัน.3 และเข้าฝึกที่หน่วยฝึกทหารใหม่ ในหน่วยฝึกของค่ายกรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ อำเภอเจาะไอร้อง จังหวัดนราธิวาส จนกระทั่งผ่านไปแค่ 1 เดือน หลังวันสมัครเข้ารับราชการทหาร ในวันที่ 1 มิถุนายน พ.ศ.2554 เจ้าหน้าที่ทหารหลายนายได้ร่วมกันทำร้ายร่างกายพลทหารวิเชียร ด้วยวิธีการทรมานและกระทำทารุณโหดร้าย จนได้รับบาดเจ็บสาหัสและเสียชีวิตในเวลาต่อมา โดยผู้ลงมือให้ข้ออ้างว่า การลงโทษเกิดขึ้นจากการที่พลทหารวิเชียรหลบหนีการฝึก
ตลอดเวลานับทศวรรษ นริศราวัลย์ แก้วนพรัตน์ หลานสาวของพลทหารวิเชียร ได้เดินหน้าเรียกร้องความเป็นธรรมให้กับครอบครัวเผือกสม และขอให้นำตัวผู้กระทำความผิดมาลงโทษทางอาญา โดยครอบครัวเผือกสม ได้มีการยื่นฟ้องทั้งคดีแพ่งและคดีอาญา จนคดีแพ่งถึงที่สุดแล้ว ขณะที่คดีอาญายังคงอยู่ในชั้นพิจารณาของศาลทหารจนถึงปัจจุบัน
การประทับรับฟ้องของศาลมณฑลทหารบกที่ 46 ในครั้งนี้ เกิดขึ้นหลังจากที่ถูกเลื่อนมาแล้วกว่า 2 ครั้ง ด้วยเหตุผลว่าติดสถานการณ์การระบาดของ COVID-19 ทั้งนี้ ศาลได้เปิดให้จำเลยยื่นคำให้การโต้แย้งคำฟ้องของพนักงานอัยการ ภายในวันที่ 25 พฤศจิกายน พ.ศ.2564 นี้
การเอาผิดผู้ซ้อมทรมานผู้อื่นจนได้รับบาดเจ็บหรือเสียชีวิตในไทย ยังคงไม่มีกฎหมายรองรับ โดย พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการทรมานและการกระทำให้บุคคลสูญหาย พ.ศ. … ยังคงอยู่ในขั้นตอนการพิจารณาของสภา การดำเนินความผิดต่อเจ้าหน้าที่ ผู้กระทำการซ้อมทรมานและอุ้มหาย จึงเต็มไปด้วยความยากลำบาก นอกจากนี้ ความผิดที่เกิดขึ้นในบริเวณค่ายทหาร ยังต้องพิจารณาบนศาลทหารเท่านั้น ด้วยเหตุนี้ จึงยังคงเกิดช่องว่างให้เกิดการซ้อมทรมานขึ้นเรื่อยๆ ในค่ายทหาร
มูลนิธิผสานวัฒนธรรมระบุว่า ขณะที่บางกรณีเจ้าหน้าที่รัฐได้รับโทษแค่ทางวินัย และได้กลับมาเป็นครูฝึกทหารเช่นเดิม หรือบางกรณีเจ้าหน้าที่รัฐยังได้เลื่อนตำแหน่งทางราชการในยศที่สูงขึ้น แม้จะมีคำพิพากษาศาลสูงสุดตัดสินแล้วว่า เจ้าหน้าที่คนดังกล่าวกระทำความผิดโดยการซ้อมทรมานจริง จึงเป็นที่น่ากังวลอย่างยิ่งว่า หากไม่มีการลงโทษผู้กระทำความผิดทางอาญาโดยพลันและอย่างจริงจัง ย่อมถือเป็นการส่งเสริมให้มีวัฒนธรรมลอยนวลพ้นผิดของเจ้าหน้าที่รัฐ การซ้อมทรมานก็จะยังคงปรากฎให้เห็นตามสื่อออนไลน์ดังเช่นในปัจจุบัน
นอกจากนี้ ขอเชิญทุกคนร่วมกันจับตากระบวนการยุติธรรมบนศาลทหาร ในการคืนความเป็นแก่ พลทหารวิเชียร และครอบครัวเผือกสม รวมถึงการพิจารณาร่างกฎหมาย พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการทรมานและการกระทำให้บุคคลสูญหาย พ.ศ. … ในสภา เพื่อเป็นหลักประกันว่า เจ้าหน้าที่รัฐจะไม่สามารถกระทำการทรมานและการปฏิบัติหรือการลงโทษที่โหดร้าย ไร้มนุษยธรรม หรือที่ย่ำยีศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์เช่นนี้อีกได้
#Brief #TheMATTER