เหตุการณ์ วันที่ 6 ตุลาคม พ.ศ.2519 คือเหตุนองเลือดครั้งใหญ่ครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์การเมืองไทย เป็นความรุนแรงที่กระทำโดยรัฐ และจนบัดนี้ยังไม่มีผู้ต้องหารายใดถูกนำตัวมาลงโทษแม้แต่คนเดียว
มีบันทึกว่า โศกนาฎกรรมดังกล่าวที่บางฝ่ายเรียกว่า ‘การสังหารหมู่’ มีฝ่ายประชาชนเสียชีวิตอย่างน้อย 41 คน และบาดเจ็บ 145 คน คนที่รอดชีวิตในวันดังกล่าวถูกจับกุม 3,094 คน แม้ต่อมาส่วนใหญ่จะได้รับการประกันตัว
หลายคนมองว่า เหตุการณ์ 6 ตุลาฯ เป็นความต่อเนื่องมาจากเหตุการณ์วันที่ 14 ตุลาคม พ.ศ.2516 ที่ฝ่ายประชาชนได้รับชัยชนะ ขับไล่ผู้นำรัฐบาลเผด็จการทหารออกไปสำเร็จ จนเกิดการเคลื่อนไหวของแนวร่วมสามประสาน คือ นักศึกษา กรรมกร และชาวนา เรียกร้องให้เปลี่ยนแปลงสังคมให้ดีขึ้น แต่ฝ่ายรัฐก็จัดตั้งมวลชนของฝั่งตัวเองขึ้นมาและปลุกความเกลียดชังต่อแนวร่วมสามประสาน โดยเฉพาะการพูดถึงลัทธิคอมมิวนิสต์ มีการรุมทำร้ายและลอบสังหารในหลายกรณี จนเกิดชนวนเหตุสำคัญ คือการบวรเณรกลับประเทศของจอมพลถนอม กิตติขจร อดีตนายกรัฐมนตรี นำไปสู่การชุมนุมประท้วงที่เริ่มตั้งแต่สนามหลวงก่อนย้ายเวทีมาในมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (มธ.) ท่าพระจันทร์
เช้ามืดวันที่ 6 ตุลาคม พ.ศ.2519 ตำรวจตระเวณชายแดน พร้อมมวลชนจำนวนหนึ่ง เข้ามาล้อม มธ. และใช้อาวุธสงครามยิงเข้าไปภายใน หลังจากนั้นก็เป็นเหตุนองเลือดที่ทำให้ฝ่ายประชาชนเสียชีวิตหลายสิบคน เย็นวันเดียวกัน กองทัพถือโอกาสเข้ายึดอำนาจจากรัฐบาลพลเรือนของ ม.ร.ว.เสนีย์ ปราโมช
เหตุการณ์นองเลือดในประเทศไทยดังกล่าว กลายเป็นข่าวดังไปทั่วโลก และภาพคนเอาเก้าอี้ฟาดชายที่ถูกแขวนคอกับต้นไม้บริเวณสนามหลวง ก็ได้รับรางวัลพูลิตเซอร์ของปีนั้น
หลายสิบปีต่อมา มีการจัดงานรำลึกเหตุการณ์ 6 ตุลาฯ เป็นครั้งแรก และถูกจัดต่อเรื่อยมาจนถึงปัจจุบัน เพื่อตอกย้ำว่านี่คือบาดแผลของสังคมไทย ต้องไม่ให้เกิดซ้ำ เราจะไม่ลืมความสูญเสียที่เคยเกิดขึ้น
– อ่านรายละเอียด พยานหลักฐาน และภาพถ่ายเกี่ยวกับเหตุการณ์ 6 ตุลาฯ รวมถึงข้อมูลเกี่ยวกับผู้เสียชีวิต ได้ที่: https://doct6.com/
#Brief #TheMATTER