ในสหรัฐฯ มีการรื้อถอน หรือเคลื่อนย้ายอนุสาวรีย์และรูปปั้น ของอดีตผู้นำหรือบุคคลที่มีชื่อเสียง ซึ่งเกี่ยวข้องกับระบบทาส อย่างไรก็ดี แทนที่จะรื้อถอนแต่อนุสาวรีย์เหล่านี้ มลรัฐเทนเนสซีตัดสินใจที่จะสร้างอนุสาวรีย์ทหารผิวสียุคสงครามกลางเมืองขึ้นมาใหม่เสียเลย
แต่เดิมที เมืองแฟรงคลิน มลรัฐเทนเนสซี มีอนุสาวรีย์ของทหารฝ่ายสมาพันธรัฐอเมริกา (รัฐใต้) ซึ่งสนับสนุนระบบทาส ตั้งอยู่กลางเมืองของพวกเขา สร้างความอึดอัดใจให้กับชุมชนคนผิวสี ในเมืองแฟรงคลินเอง ที่ต่างต้องสัญจรผ่านไปมา บริเวณที่มีอนุสาวรีย์ซึ่งพาย้อนหวนระลึกถึงสหรัฐฯ ในยามที่ยังคงมีระบบทาสอยู่
อย่างไรก็ดี มลรัฐเทนเนสซีเพิ่งสร้างอนุสาวรีย์ใหม่ขึ้นมาในเมืองของพวกเขา โดยตัวอนุสาวรีย์เป็นรูปหล่อทองแดง ของทหารผิวสีซึ่งถูกเกณฑ์เข้าร่วมรบกับกองทัพสหรัฐฯ (รัฐเหนือ) ที่ต้องการล้มเลิกระบบทาสลง “นี่คือชายผิวดำผู้ซึ่งเคยถูกกดลงเป็นทาส ผู้ยอมเสียสละชีวิต ที่จะออกไปช่วยเหลือเพื่อปลดปล่อยผู้คน” ฮีวิทต์ ซอว์เยอร์ บาทหลวงผู้เป็นตัวตั้งตัวตีในการสร้างอนุสาวรีย์ทหารผิวสียุคสงครามกลางเมืองกล่าว
เมืองแฟรงคลิน มลรัฐเทนเนสซี เป็นอีกหนึ่งหมุดหมายในการท่องเที่ยว ที่เกี่ยวกับประวัติศาสตร์ยุคสงครามกลางเมืองของสหรัฐฯ ซึ่งเป็นการรบพุ่งกันระหว่างรัฐเหนือกับรัฐใต้ ภายใต้ความขัดแย้งถึงการล้มเลิกและมีอยู่ของระบบทาสในสหรัฐฯ เมืองของพวกเขาเต็มไปด้วยสถานพยาบาลและสุสาน ซึ่งเคยใช้รักษาและฝังศพของทหารฝ่ายรัฐใต้ อย่างไรก็ดี ชาวเมืองตัดสินใจที่จะไม่ทำลายอนุสาวรีย์เดิม ซึ่งมีประวัติเกี่ยวกับการค้าทาส แต่สร้างอนุสาวรีย์ขึ้นใหม่ เพื่อระลึกถึงคนผิวสีที่ต่อสู้เพื่อการเสรีภาพของพวกเขา
อีริค เจค็อบสัน นักประวัติศาสตร์ในเทนเนสซีระบุว่า แทนที่พวกเขาจะให้ความสนใจ อยู่กับแค่การรื้อถอนอนุสาวรีย์ที่เกี่ยวข้องกับระบบการค้าทาสและใช้งานทาส พวกเขาคิดว่า มันควรเปิดพื้นที่เพื่อแบ่งปันเรื่องราวของคนผิวสี ในประวัติศาสตร์สงครามกลางเมืองของสหรัฐฯ แทน น่าจะเป็นความคิดที่เหมาะสมกับบริบทของเทนเนสซีมากกว่า เพราะหลายต่อหลายครั้งที่พวกเขาพบว่า คนรุ่นหลังรู้อะไรเกี่ยวกับสงครามกลางเมืองน้อยมาก โดยเฉพาะบทบาทคนผิวสีในสงครามครั้งนั้น
ตามประวัติศาสตร์แล้ว มีทหารผิวสีเข้าร่วมรบกับฝ่ายรัฐเหนือ เพื่อล้มระบบทาสกว่า 180,000 คน หลายคนเสียชีวิตลง แต่สำหรับผู้รอดชีวิต ถ้าหากพวกเขาถูกฝ่ายรัฐใต้จับตัวได้ ชะตากรรมของพวกเขามักจบลงอย่างน่าหดหู่ การสร้างอนุสาวรีย์ทหารผิวสีในสงครามกลางเมือง แทนการรื้อถอนแต่ประวัติศาสตร์เดิม จึงช่วยคืนชีวิตและบทบาทให้เหล่าทหารผิวสีที่ถูกลืม ได้ร่วมใช้พื้นที่ทางประวัติศาสตร์ ในการบอกเล่าถึงวีรกรรมอันกล้าหาญของพวกเขาอีกครั้ง
อ้างอิงจาก
#Brief #TheMATTER