หลังจากเริ่มการประชุม COP26 ที่กลาสโกว์ สก็อตแลนด์ มาตลอด 2 สัปดาห์ที่ผ่านมา รัฐต่างๆ ทั่วโลกได้บรรลุข้อตกลง ในการควบคุมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศแล้ว อย่างไรก็ดี ข้อตกลงถูกวิพากษ์วิจารณ์ว่า ยังห่างไกลจากเป้าการรักษาอุณหภูมิเฉลี่ยโลก ไม่ให้สูงขึ้นเกิน 1.5 องศาเซลเซียส
ตัวแทนนักการทูตจาก 197 ประเทศ ได้บรรลุข้อตกลง เพื่อการตอบรับต่อการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ ผ่านการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก รวมถึงการออกทุนสนับสนุนจากชาติพัฒนาแล้ว ให้แก่ชาติยากจน ในการรับมือและเปลี่ยนผ่านการใช้พลังงานทางเลือก ที่จะช่วยให้โลกไม่พบกับจุดจบของมหันตภัยที่นับวันจะทวีความรุนแรงมากยิ่งขึ้น
ถึงแม้ว่าชาติต่างๆ มีการตั้งเป้าการยุติการใช้พลังงานถ่านหิน การยุติการตัดไม่ทำลายป่า การปล่อยก๊าซเรือนกระจกเป็นศูนย์ และการหาพลังงานทดแทนด้านอื่นๆ อย่างไรก็ดี จีนกับอินเดียกลับใช้ข้อความในข้อตกลง เรื่องการหยุดการใช้พลังงานถ่านหินว่าจะ “ลดการใช้” แทน “ยุติการใช้” พลังงานถ่านหิน
พลังงานถ่านหินเอง มีสัดส่วนในก๊าซเรือนกระจก ที่ถูกปล่อยขึ้นสู่ชั้นบรรยากาศของโลกเป็นจำนวนมาก การกระทำของจีนและอินเดียจึงถูกวิจารณ์จากประชาคมโลกว่า จะทำให้เป้าหมายการคงอุณหภูมิเฉลี่ยโลก ไม่ให้พุ่งสูงขึ้นเกิน 1.5 องศาเซลเซียส ภายในปี 2030 อยู่ห่างออกจากความเป็นจริงมากขึ้นไปอีก ทั้งนี้ จีนและอินเดียให้ข้ออ้างว่า การใช้พลังงานถ่านหินสำคัญต่อการพัฒนาระบบเศรษฐกิจ และอุตสาหกรรมของประเทศตนเอง
ก่อนหน้านี้ นักวิทยาศาสตร์จาก Climate Action Tracker (CAT) ซึ่งเป็นองค์กรเชี่ยวชาญด้านการจับตาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ได้ออกมาระบุว่า จากเป้าหมายระยะสั้นของแต่ละรัฐ และการจัดการต่อปัญหาการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเท่าที่แต่ละรัฐประกาศว่าจะทำนั้น จะทำให้อุณหภูมิเฉลี่ยโลกพุ่งสูงขึ้นเกิน 2.4 องศาเซลเซียส ภายในศตวรรษนี้ มากกว่าเป้าหมายเดิมกว่า 0.9 องศาเซลเซียส
ทั้งนี้ การประชุม COP26 ทำให้ผู้นำโลกและองค์กรบริษัทเอกชนต่างๆ ตระหนักได้ว่า โลกเขาเรากำลังเดินหน้าเข้าสู่จุดวิกฤต หากยังไม่มีการจำกัดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก เพื่อควบคุมการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศโลก ซึ่งจะส่งผลให้เกิดน้ำท่วม ภัยแล้ง คลื่นความร้อน พายุแปรปรวน ไฟป่า น้ำแข็งขั้วโลกละลาย ฯลฯ ที่จะทวีความรุนแรง และเกิดถี่มากยิ่งขึ้นในทั่วทุกมุมโลก
นอกจากนี้ ข้อตกลงจากที่ประชุม COP26 ยังคงไม่มีการลงโทษประเทศใดๆ หากประเทศนั้นๆ ไม่สามารถทำตามข้อตกลง หรือเป้าหมายที่พวกเขาประกาศเอาไว้ว่าจะทำให้เวที COP26 ตลอด 2 สัปดาห์ที่ผ่านมาได้ โดยในการประชุมครั้งนี้ ประเทศตะวันตกอย่างสหรัฐฯ และชาติสมาชิกสหภาพยุโรป พยายามเป็นผู้นำของการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ด้วยการไม่ทิ้งจากเป้าหมายเดิมในข้อตกลงปารีสเมื่อปี 2015 รวมถึงการบริจาคเงินกว่าพันล้านเหรียญสหรัฐฯ ให้ประเทศกำลังพัฒนาเพื่อตอบรับกับปัญหาดังกล่าว
ในทางตรงกันข้าม ออสเตรเลีย จีน บราซิล และรัสเซีย ไม่ได้ประกาศแผนระยะสั้นของพวกเขา ที่เปลี่ยนแปลงไปมากนัก ทั้งนี้ สำหรับประเทศไทยเอง ถึงแม้จะมีการตั้งเป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเป็นศูนย์ ภายในปี 2065 แต่กลับไม่ลงนามในการยุติการตัดไม่ทำลายป่าภายในปี 2030
อ้างอิงจาก
https://www.nytimes.com/2021/11/13/climate/cop26-glasgow-climate-agreement.html
https://thematter.co/brief/160014/160014
https://www.bbc.com/thai/international-59132153
https://news.thaipbs.or.th/content/309516
#Brief #TheMATTER