ทีมนักวิจัยได้ตรวจร่างกายของหญิงชาวอาร์เจนตินาวัย 30 ปีรายหนึ่งที่ตรวจพบเชื้อ HIV มานานกว่า 8 ปี ซึ่งที่ผ่านมาเธอไม่ได้เข้ารับการรักษาตามกระบวนการปกติ แต่เมื่อมาตรวจอีกครั้งพบว่าเชื้อ HIV ได้หายไปแล้ว นอกจากนี้ร่างกายของเธอยังไม่ได้รับผลกระทบใดๆ จากการติดเชื้อดังกล่าวอีกด้วย
จากรายงานที่ได้รับการบันทึกในวารสารวิทยาศาสตร์ Annals of Internal Medicine เปิดเผยว่าร่างกายของหญิงคนนี้มีคุณสมบัติเป็น ‘ยาฆ่าเชื้อ HIV’ ด้วยตัวมันเอง โดยไม่ต้องเข้ารักการรักษาด้วยวิธีทั่วไปอย่างการปลูกผ่านสเต็มเซลล์หรือการรักษารูปแบบอื่นๆ
หญิงชาวอาร์เจนตินาได้รับการวินิจฉัยว่ามีเชื้อ HIV ครั้งแรกเมื่อปี ค.ศ.2013 ซึ่งหลังจากนั้นเธอได้ไม่กินยาต้านไวรัสเลยจนกระทั่งปี 2020 ที่เธอตั้งครรภ์จึงเริ่มกินยา Tenofovir, Emtricitabine และ Raltegravir ควบคู่กันไปเป็นเวลา 6 เดือน แต่หลังจากที่คลอดลูก (ซึ่งติดเชื้อ HIV เช่นกัน) ก็ได้หยุดกินยารักษา
ดร.ซู หยู จากสถาบันรากอนแห่งโรงพยาบาลแมสซาชูเซตส์ เจเนอรัล, เอ็มไอที และฮาร์วาร์ด ซึ่งเป็นผู้เขียนงานวิจัยนี้พร้อมด้วย ดร.นาตาลี เลอเฟอร์ และทีมวิจัยได้ร่วมกันวิเคราะห์ตัวอย่างเลือดของเธอในช่วงปี 2017-2020 รวมถึงวิเคราะห์เนื้อเยื่อรกหลังจากที่เธอคลอดลูกร่วมด้วย
ซึ่งผลการวิเคราะห์ยืนยันว่า หญิงคนนี้เคยติดเชื้อ HIV มาก่อน แต่หลังจากนั้นนักวิจัยไม่พบไวรัส HIV ที่อยู่ในสภาพสมบูรณ์จนสามารถกระจายได้อีก ทั้งหมดที่พวกเขาพบมีเพียงไวรัสในสภาพบกพร่อง 7 ตัวซึ่งอยู่ในรูปแบบของไวรัสที่ผสานเข้ากับเซลล์พันธุกรรมของโฮสต์เท่านั้น
ทีมนักวิจัยยังไม่สามารถบอกได้ว่า ร่างกายของผู้ติดเชื้อสามารถกำจัดไวรัส HIV ที่สมบูรณ์ออกไปได้อย่างไร แต่ดร.ซู หยูคิดว่าอาจเกิดการณ์ผสมผสานของกลไกภูมิคุ้มกันที่แตกต่างกัน ซึ่งอาจมีภูมิคุ้มกันโดยกำเนิด (Innate immunity) และที-เซลล์ ซึ่งเป็นเซลล์ภูมิต้านทานชนิดหนึ่ง ที่มีหน้าที่หลักในการหาเซลล์ที่ติดเชื้อและกำจัดมัน เข้ามาเกี่ยวข้อง
หญิงชาวอาร์เจนตินาคนนี้เป็นรายที่ 2 ที่ร่างกายมีลักษณะพิเศษในการเป็น ‘ยาฆ่าเชื้อ’ โดยหน้านี้เคยพบในหญิงวัย 67 ปีคนหนึ่งที่ชื่อว่า ลอรีน วิลเลนเบิร์ก ซึ่งหลังจากนี้ทีมวิจัยจะศึกษาเพิ่มเติมเพื่อตอบคำถามเกี่ยวกับการรักษาเชื้อ HIV ในมนุษย์ โดยปัจจุบัน มีผู้คนประมาณ 38 ล้านคนทั่วโลกที่ติดเชื้อ HIV และไม่ได้รับการรักษาที่ถูกวิธี ซึ่งหากแนวทางนี้เป็นอีกหนึ่งกุญแจสำคัญที่จะพาไปสู่ความสำเร็จ ในอนาคตน่าจะช่วยคนทั่วโลกได้อีกมากเลยทีเดียว
อ้างอิงจาก
https://www.washingtonpost.com/science/2021/11/16/hiv-cure-immune-system-study/
#Brief #TheMATTER