“Apple เชื่อว่าคุณกำลังเป็นเป้าหมาย ของผู้โจมตีทางไซเบอร์ที่ได้รับการสนับสนุนจากรัฐ” นี่คือข้อความในอีเมลแจ้งเตือน ที่นักกิจกรรมทางการเมืองหลายคนได้รับในวันนี้ โดยเนื้อหาของอีเมลที่ถูกส่งมาจากบริษัท Apple นั้น แจ้งเตือนว่าพวกเขาถูกหน่วยโจมตีไซเบอร์ที่สนับสนุนโดยรัฐ กำลังพยายามแฮกโทรศัพท์ iPhone ที่ใช้อยู่ และสามารถเข้าถึงข้อมูลละเอียดอ่อน การสนทนา ไปถึงกล้อง และไมโครโฟน
เบื้องต้นพบว่ามีนักกิจกรรมอย่างน้อย 5 ราย จากกลุ่มสังกัดต่างๆ เช่น แนวร่วมธรรมศาสตร์ และการชุมนุม, กลุ่มศาลายาเพื่อประชาธิปไตย, เยาวชนปลดแอก, ศิลปะปลดแอก และแร็ปเปอร์จากกลุ่ม Rap Against Dictatorship ไปอีก 1 นักวิชาการอย่าง สฤณี อาชวานันทกุล ที่ได้รับอีเมลแจ้งเตือนนี้ ซึ่ง The MATTER ได้พูดคุยกับ เอเลียร์ ฟอฟิ นักกิจกรรมจากศิลปะปลดแอก ซึ่งเป็นหนึ่งในคนที่โพสต์สเตตัสว่า เขาได้รับอีเมลฉบับนี้
เอเลียร์บอกกับเราว่า ในตอนแรกที่ได้รับอีเมลยังไม่ได้เอะใจอะไร แต่สงสัยในคำว่า ‘state-sponsored attackers’ “พอมีเวลานั่งอ่านอีเมลดีๆ เราสงสัยคำว่า ‘state-sponsored attackers’ เรามานั่งแปลว่ามันคืออะไร ทำไมมีคำว่า state อยู่ในการแฮกครั้งนี้ พอเราตั้งสติ มาหาข้อมูลดูว่านี่ไม่ใช่เรื่องเล็กแล้ว เรามาตั้งคำถามว่าบริษัทต่างชาติอย่าง Apple ส่งอีเมลมาเตือนว่ารัฐของคุณสนับสนุนให้เกิดการแฮก โจมตีให้มีการเอาข้อมูลในโทรศัพท์ของคุณ รวมทั้งเสียง และวิดีโอ มันต้องเป็นเรื่องใหญ่ขนาดที่บริษัทเขาอีเมลมาว่ารัฐของคุณกำลังทำสิ่งนี้กับคุณ ผมเลยตัดสินใจโพสต์ และเป็นสาธารณะให้คนรู้ว่ารัฐพยายามใช้ทุกเครื่องมือ และพยายามที่จะแฮกแบบหน้าไม่อาย โดยที่บริษัทต่างชาติรู้ว่า คุณคือหนึ่งในผู้สนับสนุนการแฮก”
ในอีเมลนั้น มีการเขียนว่า การที่ถูกตั้งเป้าโจมตีทางไซเบอร์นั้น อาจเป็นเพราะตัวตน และสิ่งที่คุณทำ เราจึงถามเขาว่า เขาคิดว่าเขาทำอะไร ทำให้รัฐต้องมาสอดแนม
“ผมคิดว่า ผมอยู่ในบัญชีรายชื่อของผู้เป็นภัยความมั่นคงต่อรัฐ ผมคิดว่ารัฐเผด็จการยังไงก็ต้องการที่จะสอดแนม สอดแนมไม่พอเผลอๆ เขาต้องการให้เรารับรู้ว่าเค้าสอดแนมเราอยู่ เพื่อให้เราปรับเปลี่ยนพฤติกรรม ไม่เป็นตัวของตัวเองได้ ภายใต้รัฐที่สอดแนมประชาชนตัวเองตลอดเวลา นึกภาพตามออกไหมว่า การที่รัฐทำให้คุณรู้ว่าคุณถูกสอดแนมอยู่ การที่เราจะคิด หรือพูดอะไร ทำอะไร เราไม่สามารถทำได้ มันมีผลงานวิจัยออกมาด้วยว่า ถ้าคนรู้ว่าถูกสอดแนม เขาก็จะไม่สามารถเป็นตัวของตัวเองได้ เขาก็จะเลือกวิธีการประนีประนอมกับสังคม มากกว่าจะเลือกวิธีการที่ตัวเองอยากตัดสินใจจริงๆ
เราเลยกลับไปที่ว่า บางคนบอกว่า ‘ถ้าไม่ได้ทำผิดจะกลัวอะไร ?’ แต่จะพูดแบบนี้ไม่ได้ ไม่ถูกต้อง privacy มันคือตัวตนส่วนตัวเรา เราไม่ได้อยากให้ทุกคนรู้ว่าเราเป็นยังไง มันจะต้องมีมุมที่เราเป็นตัวของตัวเอง เป็นสิ่งที่เราเก็บไว้ และเราเลือกว่าจะให้คนเห็นอะไร เราควรมีสิทธินั้น ในฐานะที่เป็นมนุษย์ ไม่ใช่แค่คนไทยอย่างเดียว”
“ผมเคยถูกหมายศาลยึดโทรศัพท์ ในหมายเขียนชัดเจนเลยว่าจะขอแบ็กอัพข้อมูลในโทรศัพท์ทั้งหมด ยึดเก็บไว้ ตอนที่ถูกจับครั้งแรก วิธีการรับมือ ผมเป็นคนป้องกันสุดทางในเรื่องนี้ในเรื่องดิจิทัล เพราะเราอยู่ในโลกคริปโตด้วย ผมเปลี่ยนโทรศัพท์ ใช้อีเมลใหม่ ไม่ใช้ของเก่าเลย เพื่อความปลอดภัยส่วนตัว บางคนอาจจะแค่เปลี่ยนพาสเวิร์ด แต่ตัวผมไม่โอเคกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้น” เขาเล่าถึงความพยายามป้องกันความปลอดภัยในโลกไซเบอร์ของตัวเอง
เอเลียร์ยังตั้งข้อสังเกตกับเราว่า นักกิจกรรมหลายคนที่ได้รับอีเมลนั้น ไม่ใช่แกนนำด้วย “แน่นอนว่าแกนนำก็โดน แต่ครั้งนี้กลุ่มคนที่ติดต่อมาหลังไมค์หาผมว่าโดน คือคนทำงานในขบวน หมายความว่ารัฐมี database มีข้อมูล เบอร์ อีเมล รู้ว่าใครใช้โทรศัพท์อะไร ของคนทำงานที่ช่วยซัพพอร์ตกระบวนการเรียกร้องประชาธิปไตยในไทย คือเขาไม่ได้ตั้งเป้าหมายแค่แกนนำแล้ว แต่ตั้งเป้าหมายไปที่องคาพยพที่พยายามร่วมกันขับเคลื่อนให้เกิดประชาธิปไตยในไทย” เอเลียร์กล่าว
นักกิจกรรมจากกลุ่มศิลปะปลดแอกยังบอกกับเราว่า วิธีการของรัฐในการพยายามใช้เครื่องมือต่างๆ กับประชาชน และไม่สามารถหยุดการเปลี่ยนแปลงของประชาชนได้แล้ว “เรารู้ทั้งรู้ว่าภายใต้รัฐที่มีอำนาจเบ็ดเสร็จในมือ ตุลาการอยู่ข้างเขา ทุกอย่างเป็นเครื่องมือของเขา สุดท้ายสิ่งที่เขาทำคือปิดปาก ใช้ทุกช่องทางไม่ให้เราพูด ทำให้เรากลัว กดเราไว้ ข่มเราไว้ ไม่ให้เรากล้าที่จะลุกมาเปลี่ยนแปลง นี่คือสภาพ 7 ปี ที่รัฐใช้เครื่องมือ หาเครื่องมือมาเรื่อยๆ และนับวันเขายิ่งแข็ง แต่แข็งแกร่งแค่เรื่องเครื่องมือเท่านั้น
จริงๆ การที่รัฐใช้เครื่องมือเยอะขนาดนี้ มันแสดงให้เห็นถึงความอ่อนแอ และเปราะบางของตัวเอง ยิ่งใช้กำลังในการทำลายเราเท่าไหร่ อำนาจนั้นยิ่งบั่นทอนตัวเองเท่านั้น ทุกทรัพยากรที่รัฐใช้กับประชาชนจะทำให้เขาเองยิ่งอ่อนแอ และหยุดการเปลี่ยนแปลงของประชาชนไปไม่ได้หรอก สุดท้ายทรัพยากรเขาก็ต้องหมดลง”
สุดท้ายนี้ เขายังบอกกับเราว่าเรื่อง privacy หรือความเป็นส่วนตัว เป็นสิ่งที่สำคัญมากในยุคปัจจุบัน ซึ่งแม้ไม่ใช่นักเคลื่อนไหว แต่คนทั่วไปก็ควรจะให้ความสำคัญกับประเด็นนี้
“เราไม่สนใจไม่ได้ เราอยู่ในยุคดิจิทัล อินเทอร์เน็ต privacy เป็นสิ่งที่สำคัญมาก และเราควรจะจริงจังกับประเด็นนี้ ไม่จำเป็นต้องเป็นนักเคลื่อนไหว คนธรรมดาก็สามารถถูกแบล็กเมลจากข้อมูลที่เราชอบก็ได้ privacy เป็นเรื่องสำคัญ เชิญชวนทุกคนศึกษามัน โดยเฉพาะภายใต้รัฐเผด็จการที่เราใช้ชีวิตอาศัยกันอยู่ เช่น ถ้าคุณเป็นนักธุรกิจ แล้วประสบความสำเร็จมาก จนคนท้องถิ่นที่มีอำนาจทางการเมืองต้องการจะจัดการคุณ นี่ก็เป็นเครื่องมือที่เขาสามารถทำลายได้ ภายใต้รัฐรวมศูนย์อำนาจ เราก็ควรจะปกป้องตนเอง และการปกป้องทางดิจิทัลก็เป็นสิ่งที่เราควรทำ” เอเลียร์กล่าว