สัปดาห์ที่ผ่านมา ได้เกิดเหตุการณ์ที่สะเทือนขวัญไปทั่วโลก เมื่อมีการรายงานว่า มีพลเรือนอย่างน้อย 35 ราย รวมทั้งเด็กและผู้หญิง ถูกเผาและสังหารโดยกองทัพเมียนมา ที่เมืองพรูโซ รัฐกะยา ในขณะเดียวกัน Save the Children องค์กรด้านสิทธิมนุษยชน ก็ระบุว่า เจ้าหน้าที่ขององค์กรจำนวน 2 คน เป็นส่วนหนึ่งของผู้เสียชีวิตในเหตุการณ์ครั้งนี้ด้วย (อ่านสรุปเหตุการณ์ที่ The MATTER ได้รวบรวมไว้ได้ที่: https://thematter.co/brief/164047/164047)
แต่เหตุการณ์ครั้งนี้ เป็นเพียงแค่ส่วนหนึ่งของการโจมตีทั้งหมดที่กองทัพเมียนมานำมาใช้กับประชาชน สำนักข่าว AP เพิ่งเผยแพร่รายงานเชิงสืบสวน ซึ่งชี้ว่า กองทัพเมียนมากำลังหันกลับมาใช้การสังหารหมู่และการเผาทั้งหมู่บ้านอย่างเป็นระบบ และไม่ได้ใช้แค่กับชนกลุ่มน้อย เช่น ชาวโรฮิงญา แต่เพียงอย่างเดียวแล้วเท่านั้น ที่ผ่านมาพบว่ายุทธวิธีดังกล่าวได้ถูกนำมาใช้กับชาติพันธุ์บามาร์ซึ่งเป็นกลุ่มชาติพันธุ์หลักของเมียนมาด้วย
สำหรับการเผาหมู่บ้านนั้น เป็นยุทธวิธีสำคัญของกองทัพเมียนมา ที่จะใช้กับหมู่บ้านที่กองทัพคาดว่าเป็นแหล่งสนับสนุนฝ่ายต่อต้าน AP รายงานข้อมูลจากภาพดาวเทียม พบว่า ตั้งแต่เดือนกันยายนเป็นต้นมา เมืองทานตะลาน รัฐชิน มีอาคารที่ถูกเผาไหม้ไปมากกว่า 580 หลังแล้ว
ส่วนการสังหารหมู่ ข้อมูลจากสมาคมช่วยเหลือนักโทษการเมืองในเมียนมา (Assistance Association for Political Prisoners) พบว่า แค่ในรัฐสะกายเพียงรัฐเดียว มีผู้เสียชีวิตมากกว่า 80 รายแล้ว จากการสังหารหมู่ที่มีมากกว่า 3 ศพเป็นต้นไป
จอ โม ตุน เอกอัครราชทูตเมียนมาประจำสหประชาชาติที่ถูกปลดโดยรัฐบาลทหาร ให้สัมภาษณ์กับ AP ว่า ยังมีกรณีคล้ายๆ กันเกิดขึ้นทั่วทั้งประเทศ โดยเฉพาะในภาคตะวันตกเฉียงเหนือ ซึ่งสะท้อนให้เห็นยุทธวิธีของกองทัพเมียนมาที่กระทำโดยมีแบบแผนและเป็นระบบระเบียบ
สำหรับเหตุการณ์สังหารหมู่ล่าสุดในช่วงเทศกาลคริสต์มาสที่ผ่านมานั้น องค์กรต่างๆ ในสหประชาชาติก็ได้มีปฏิกิริยาตอบโต้ในเรื่องนี้ เช่น คณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ (UNSC) ได้ออกแถลงการณ์เมื่อวันที่ 29 ธ.ค. ประณามเหตุการณ์ดังกล่าว พร้อมเรียกร้องให้แสดงความรับผิดชอบ และยุติการใช้ความรุนแรงโดยทันที
ทางด้านสหภาพยุโรป (EU) โจเซฟ บอร์เรล ผู้แทนระดับสูงของ EU เพิ่งออกแถลงการณ์เมื่อวานนี้ (30 ธ.ค.) ระบุว่า การโจมตีพลเรือนและเจ้าหน้าที่ด้านมนุษยธรรมเป็นสิ่งที่รับไม่ได้ โดย EU มองว่า การยกระดับมาตรการยับยั้งระหว่างประเทศ เช่น การคว่ำบาตรค้าอาวุธ ก็เป็นสิ่งที่จำเป็น และ EU ก็พร้อมที่จะออกมาตรการคว่ำบาตรต่อไปในอนาคต
อ้างอิงจาก
https://www.un.org/press/en/2021/sc14754.doc.htm