ตั้งแต่ปีใหม่เป็นต้นมา สถานการณ์การแพร่ระบาดของ COVID-19 ในประเทศไทยเริ่มส่งสัญญาณวิกฤตอีกครั้ง แม้กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) จะยืนยันว่า สายพันธุ์โอไมครอนจะไม่ทำให้เกิดอาการรุนแรง แต่การที่โอไมครอนสามารถแพร่ระบาดได้อย่างรวดเร็ว ก็เป็นสิ่งที่น่ากังวล ประกอบกับสายพันธุ์เดลต้าที่ยังระบาดเป็นสายพันธุ์หลักอยู่ ก็ไม่ได้หายไปไหน
สธ. ประเมินว่าในช่วง 1-2 เดือนต่อจากนี้ ฉากทัศน์ที่เลวร้ายที่สุดคือ จะมีผู้ติดเชื้อมากสุดถึงวันละ 30,000 คน โดยอาจเสียชีวิตถึง 170-180 คน และในวันนี้ สถานการณ์ก็เริ่มส่งสัญญาณไม่ดีนัก หากนับจำนวนผู้ติดเชื้อตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค. เป็นต้นมา จนถึง 5 ม.ค. มีผู้ติดเชื้อรายวันรวม 16,040 ราย และถ้านับรวมผู้ติดเชื้อที่ตรวจด้วย ATK ใน 5 วันนี้ก็จะมีผู้ติดเชื้อรายวันรวมทั้งหมดถึง 23,742 ราย
ทางกลุ่มเส้นด้าย ซึ่งเป็นกลุ่มอาสาสมัครช่วยเหลือผู้ป่วย COVID-19 ที่ทำงานมาตั้งแต่การระบาดรอบที่แล้วในปี 2564 ก็ระบุว่า มีผู้ป่วยโทรมาประสานเรื่องเตียงมากกว่า 100 สายต่อวันแล้ว
กุลนัฐญ์ ปาละกะวงค์ อาสาสมัครคอลเซ็นเตอร์ของกลุ่มเส้นด้าย ให้สัมภาษณ์กับ The MATTER เพื่อประเมินสถานการณ์ในวันนี้ จากมุมมองของหน่วยงานเอกชน และหาคำตอบว่า ภาครัฐและหน่วยงานต่างๆ ควรต้องรับมืออย่างไร ในวันที่ใกล้จะวิกฤตอีกครั้ง
กุลนัฐญ์ อธิบายว่า ณ วันนี้เป็นสถานการณ์ที่เรียกได้ว่าฉุกเฉิน เพราะว่าคนที่ติดเชื้อทุกคนโทรเข้ามาขอเตียงไม่ว่าจะเป็นในกรุงเทพฯ หรือพื้นที่ต่างจังหวัด “ตั้งแต่เช้าของเมื่อวาน (4 ธ.ค.) เป็นต้นมา มีคลัสเตอร์จากชลบุรี–พัทยาเยอะมาก ซึ่งเป็นพื้นที่ที่คนไปเที่ยวมา กลับมาได้ 2 วันก็มีอาการเริ่มมีไข้ ไอ จึงตรวจ ATK และพบเป็น 2 ขีด ตรงนี้ก็บ่งบอกอยู่แล้วว่าสถานการณ์เริ่มตึงเครียดแล้ว”
แต่เนื่องจากกลุ่มเส้นด้ายมีพื้นที่ดูแลจำกัดแค่ในกรุงเทพฯ และปริมณฑล จึงไม่มีข้อมูลว่าหน่วยงานในต่างจังหวัดสามารถรับส่งผู้ป่วยได้รวดเร็วแค่ไหน ที่แน่นอนคือ ผู้ป่วยเริ่มเดือดร้อนแล้ว มีผู้ป่วยที่ติดเชื้อและโทรมาหากลุ่มเส้นด้ายตั้งแต่วันที่ 31 ธ.ค.-1 ม.ค. แต่ยังไม่ได้เข้ารับการรักษา รพ.แจ้งแค่ว่าจะรอประสานงาน แต่ก็ยังเงียบจนถึงทุกวันนี้
สำหรับสถานการณ์ในอนาคต กุลนัฐญ์บอกว่า “ไม่ต้องถึง 1-2 เดือน เอาแค่ใน 10 วันนี้ รับรองว่าโรงพยาบาลเตียงเต็มหมดทุกที่ ตอนนี้บางที่ก็เริ่มเต็มแล้ว เพราะ hospitel ส่วนมากก็เริ่มปิดตัวไป เนื่องจากกำลังปรับตัวมาเป็นโรงแรมเต็มตัวเหมือนเดิม แต่คนก็เริ่มกลับมาติดเชื้ออีกครั้ง รับรองว่าเตียงโรงพยาบาลไม่เพียงพอ เพราะตอนนี้ใครป่วยเป็น COVID-19 ก็อยากจะได้เตียงกันทั้งนั้น”
โดยในตอนนี้ สิ่งที่กลุ่มเส้นด้ายกำลังทำคือ กำลังประสานกับ hospitel ที่เคยติดต่อมากับเส้นด้าย ว่ายังสนใจที่จะเปิดเป็น hospitel อีกหรือไม่ พร้อมกับประสานติดต่อหน่วยงานในต่างจังหวัด ถึงแม้จะไม่ได้อยู่ในพื้นที่ดูแล หรือกลุ่มเส้นด้ายจะไม่ได้เป็นผู้ส่งผู้ป่วยเองก็ตาม แต่ก็จะประสานกับหน่วยงานต่างจังหวัดให้ เช่น ใน จ.ชลบุรี จ.เชียงใหม่ หรือ จ.นครนายก
สำหรับภาครัฐ กลุ่มเส้นด้ายมองว่าไม่สามารถรับมือผู้ป่วยได้ เนื่องจากเข้ามาแก้ไขตอนที่เกิดปัญหาแล้ว ไม่ได้เตรียมตัวไว้ก่อน อย่างกิจกรรมเคาท์ดาวน์ รวมถึงการเดินทางออกพื้นที่ต่างจังหวัด กุลนัฐญ์ก็มองว่า ที่ผ่านมาไม่ควรอนุญาตให้มี ภาครัฐจะรับมือไม่ไหวแน่นอนถ้าไม่มีหน่วยงานเอกชนคอยช่วยเหลือ
สิ่งที่กลุ่มเส้นด้ายอยากให้ภาครัฐช่วยในตอนนี้ก็คือ ช่วยให้การตรวจง่ายขึ้น มีการรักษาที่ง่ายขึ้น ถึงแม้จะไม่มีเตียงสนามหรือไม่มีโรงพยาบาลรองรับ แต่ก็ต้องจัดยาให้ผู้ป่วยทันที รวมถึงอยากฝากไปถึงหน่วยงานสาธารณสุขหรือโรงพยาบาลในต่างจังหวัดว่า อยากให้มีการจ่ายยาทันทีหลังรู้ผลตรวจด้วยเช่นเดียวกัน
กุลนัฐญ์อธิบายว่าไม่ควรให้รอ “คำว่ารอมันหมายความว่าเราไม่รู้ว่าจะได้ยาเมื่อไหร่ จะได้รักษาตอนไหน และเราก็ไม่สามารถไปบอกคนไข้ได้หรอกว่ามันจะไม่หนัก ไม่รุนแรง เมื่อคนติดก็กลัวกันอยู่แล้ว จึงอยากได้ยาในอันดับแรก มีการแนะนำยาและการกักตัว ให้แนะนำไปก่อน แต่ตอนนี้คือไม่มีการติดต่อใดๆ ทั้งสิ้น”
อ้างอิงข้อมูลบางส่วนจาก
https://ddc.moph.go.th/covid19-dashboard/
https://web.facebook.com/fanmoph/videos/348552446707879