“เราคือหนึ่งในภาคีว่าด้วยอนุสัญญาเด็ก แต่ในโรงเรียนที่ควรจะสถานที่ที่ใกล้ชิดและปลอดภัยต่อเด็ก กลับลิดรอนสิทธิเสรีภาพของเด็กเสียเอง”
งานวันเด็กแห่งชาติ เกิดขึ้นมาแล้วกว่า 67 ปี แต่การลิดรอนสิทธิ-เสรีภาพกับเด็กและเยาวชนก็ยังเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องโดยเฉพาะในสถานศึกษาซึ่งควรจะเป็นที่ที่มอบความปลอดภัยให้กับเด็ก กลุ่มนักเรียนเลวจึงได้เชิญชวนให้ทุกคนมาร่วมกันผลักดัน ‘ร่าง พ.ร.บ.ว่าด้วยสิทธิมนุษยชนของผู้เรียน พ.ศ. ….’ ซึ่งจะเป็นกฎหมายฉบับแรกที่ร่างโดยนักเรียนไทย
“ตลอดเวลาที่ผ่านมากว่าหลาย 10 ปี ปัญหาการละเมิดสิทธิมนุษยชนภายในสถานศึกษายังคงเกิดขึ้นเป็นวัฏจักรและเป็นระบบ โดยมีระบอบอำนาจนิยมคอยสนับสนุน เด็กไทยต้องบอบช้ำมานานซ้ำแล้วซ้ำเล่าตั้งแต่รุ่นปู่ย่า พ่อแม่ จนมาถึงรุ่นเรา และพวกเราก็กำลังค่อยๆ ถูกกลืนเข้าไปในวงจรอุบาทว์นี้จนหาทางออกให้กับปัญหานี้ไม่ได้เสียที”
“ซ้ำร้าย ผู้ที่มีหน้าที่ มีอำนาจแก้ไขปัญหานี้ก็ไม่เคยแก้ไขอะไร และไม่เคยฟังเสียงของเด็กไทยเลย ถึงเวลาแล้วที่เราจะต้องหักกรงล้อแห่งปัญหานี้ เพราะไม่ใช่แค่เราที่ถูกทำร้าย แต่คืออนาคตของเราและชีวิตของเด็กไทยในรุ่นต่อๆ ไป”
ร่าง พ.ร.บ.ว่าด้วยสิทธิมนุษยชนของผู้เรียน พ.ศ. …. แบ่งออกเป็น 3 หมวด ได้แก่ สิทธิมนุษยชน สวัสดิภาพและสภาพแวดล้อม เสรีภาพในการมีส่วนร่วมในโรงเรียน
แบม ตัวแทนจากกลุ่มนักเรียนเลว กล่าวในงานเสวนารื้อระบอบอำนาจนิยมว่า ตัวเลข 5,437 คือจำนวนเรื่องร้องเรียนการละเมิดสิทธิที่นักเรียนเลวได้รับ โดยวิธีลงโทษมีตั้งแต่การให้นักเรียนเอาเล็บไปขูดกำแพง การดีดสายเสื้อในเด็กผู้หญิง การขู่ไล่ออกเมื่อเด็กออกมาวิจารณ์เด็ก และครูสั่งให้เด็กคลานเข่าเข้าไปกราบ
แบมกล่าวด้วยว่า ฟังก์ชั่นของโรงเรียนคือการสนับสนุนการเรียนรู้ และให้เด็กได้พัฒนาศักยภาพ แต่โรงเรียนไทยไม่ใช่แบบนั้น โรงเรียนไม่อนุญาตให้เราทำผิด และเมื่อไม่อนุญาตให้ผู้เรียนได้ทดลอง มันก็ไม่ทำให้เด็กเกิดการเรียนรู้ เพราะการเรียนรู้เกิดจากการได้ทดลองถูกลองผิด
“พรบ.การศึกษาฯ กฎหมายคุ้มครองเด็ก กฎหมายที่รัฐบาลผลักดันมา มีสักกี่ฉบับที่สามารถปกป้องคุ้มครองเด็กได้จริงๆ ? ไม่มีเลย”
พ.ร.บ.ดังกล่าว ยังรองรับสิทธิและเสรีภาพอีกหลายอย่างให้กับนักเรียน ทั้งเรื่องการให้เด็กได้เลือกเรียน-เข้าร่วมกิจกรรมที่ตัวเองสนใจ รองรับสิทธิในการเข้าถึงความยุติธรรมของผู้เรียน อย่างชัดเจน โปร่งใส และให้สิทธิในการมีเวลาว่างกับผู้เรียน เพื่อให้พวกเขาได้มีเวลาพักผ่อนและมีเวลาได้ทำตามความฝัน
ขณะเดียวกัน ในมุมของผู้ใหญ่ ดุจดาว วัฒนปกรณ์ นักจิตบำบัด กล่าวในงานเสวนาว่า ถ้าเกิดความรุนแรงขึ้นกับเด็ก ระหว่างที่เขากำลังเติบโต มันจะส่งผลต่อทั้งชีวิตของเขาเลย เพราะบางที ความรุนแรงอาจเกิดขึ้นในรูปแบบของการขัดขวางการสร้างพัฒนาการ และยังส่งผลกระเทือนสุขภาวะของทรัพยการมนุษย์ ซึ่งสิ่งเหล่านี้ สามารถอาศัยปัจจัยบางอย่างมาป้องกันหรือลดแรงปะทะได้ เช่น นโยบายของโรงเรียน บุคลากรในรั้วโรงเรียน เป็นต้น
ด้านครูทิว-ธนวรรธน์ สุวรรณปาล จากกลุ่มครูขอสอน มองว่า สิ่งที่ทำให้การละเมิดสิทธิยังคงอยู่ เป็นเพราะระบบและชุดความเชื่อบางอย่างที่ฝังรากในสังคม บางครั้งครูอ้างว่าทำในนามของความหวังดี แต่ไม่รู้เท่าทันว่ามันส่งผลเสียต่อเด็ก สิ่งเหล่านี้ทำให้ครูไม่ได้ตระหนักถึงสิทธิของเด็ก
มิรา ชัยมหาวงศ์ ในฐานะผู้ปกครอง ก็มองว่า เธออยากให้ลูกเป็นเจ้าของการเรียนรู้ เพื่อจะได้เติบโตด้วยตัวเอง แต่ที่ผ่านมาระบบการศึกษาเป็นระบบของอำนาจ ความรุนแรง เป็นความรุนแรงแบบเงียบๆ ที่ทำให้เราไม่สามารถตั้งคำถามได้ แค่เดินเข้าไปก็ต้องยอมรับระบบแบบนี้แล้ว โดยที่เด็กไม่มีโอกาสได้เลือกในสิ่งที่เขาอยากเรียนรู้
“เราถูกทำให้เชื่อง ทำให้เชื่อและยอมรับแบบนั้น สำหรับเรา นี่เป็นสิ่งที่ไม่อยากให้เกิดขึ้น เพราะถ้าอยากให้เด็กมีสมรรถนะ คิด วิเคราะห์ เป็นเจ้าของการเรียนรู้ เขาต้องมีอำนาจภายในตัวเอง โรงเรียนต้องเป็นพื้นที่ที่ทำให้เกิดการพูดคุย แชร์ และทำความเข้าใจได้ นี่คือสิ่งที่เราอยากให้เกิดขึ้นกับลูกของเรา”
ขณะที่ อ.สมพงษ์ จิตระดับ ผู้อำนวยการศูนย์วิชาการและเครือข่ายวิชาการด้านเด็ก เยาวชน และครอบครัว คณะครุศาสตร์ จุฬาฯ ทิ้งท้ายว่า ถ้าร่าง พ.ร.บ.ฉบับนี้ผ่านก็จะเป็นหลักประกันว่า จะไม่มีใครใช้อำนาจที่ไม่เหมาะสมกับเด็กได้อีก การใช้อำนาจด้วยความรุนแรงเป็นสิ่งไม่ถูกต้อง คนที่อยู่เหนือสุดใช้อำนาจได้ด้วยการพูดคุย และรับฟัง ทั้งยังย้ำว่า ประเทศจะพัฒนาไปได้ ถ้าผู้ใหญ่เคารพและให้เกียรติเสียงของเด็กทุกคน
#Brief #TheMATTER