ปัญหาการเปลี่ยนแปลงทางสภาพอากาศ (Climate change) กำลังทำให้โลกสูญเสียแหล่งผลิตกาแฟที่ดีที่สุดของโลกไปกว่าครึ่งหนึ่ง และทำให้เมล็ดกาแฟที่เรากินๆ กันอยู่ทุกวันราคาแพงขึ้นด้วย
นักวิทยาศาสตร์สวิตเซอร์แลนด์ได้ศึกษาผลกระทบของปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศต่อกาแฟ ก่อนจะพบว่า ต้นกาแฟอาจเจริญเติบโตได้ไม่ดีเท่าเดิมเมื่อต้องเจอกับลักษณะภูมิอากาศที่เปลี่ยนแปลงไป
ตามปกติแล้ว กาแฟจะเติบโตได้ในสภาพแวดล้อมที่เฉพาะเจาะจง เช่น ดินมีการถ่ายเทที่ดี น้ำไม่ท่วงขัง อุณหภูมิอยู่ในระดับพอเหมาะ ไม่สามารถปลูกได้ในเขตร้อนทุกพื้นที่
แต่การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศในระดับปานกลาง (ไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนสุดขั้ว) กำลังปัจจัยเหล่านี้หายไป โดยเฉพาะดิน ที่นักวิทยาศาสตร์พบว่าดินในหลายพื้นที่ที่ปลูกกาแฟเป็นหลัก กำลังค่อยๆ สูญเสียคุณสมบัติที่เหมาะสมต่อการปลูกกาแฟ ซึ่งจะส่งกระทบต่อไปถึงราคากาแฟในตลาดโลก
ทีมศึกษาได้ยกตัวอย่างประเทศบราซิล ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้ผลิตกาแฟเจ้าใหญ่ของโลก แต่ปัจจุบันเขตปลูกกาแฟในบราซิลกำลังเจอกับภัยคุกคามด้านสภาพภูมิอากาศ จนทำให้พื้นที่ที่เหมาะสมต่อการปลูกกาแฟลดลงถึง 79% ซึ่งนอกจากจะทำให้ทิศทางราคากาแฟพุ่งสูงขึ้น ยังส่งผลกระทบต่อการประกอบอาชีพของคนในพื้นที่ด้วย โดยจากข้อมูล พบว่าเมื่อปี 2021 ที่ผ่านมา กาแฟสร้างรายได้ราวๆ 4.6 แสนล้านดอลลาร์ หรือประมาณ 15 ล้านล้านบาท ซึ่งเป็นมูลค่าที่สูงมากทีเดียว
ต้องบอกก่อนว่า นี่ไม่ใช่การศึกษาแรกที่ชี้ให้เห็นถึงปัญหาความมั่นคงของกาแฟ ก่อนหน้านี้นักวิเคราะห์จากองค์การเพื่อความร่วมมือและการพัฒนาทางเศรษฐกิจ (OECD) เปิดเผยว่า ดินที่เหมาะสมต่อการปลูกกาแฟกว่า 50% ทั่วโลกจะหายไปภายในปี 2050 เพราะปัญหานี้เช่นกัน
หลังการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศเริ่มคุกคามวงการกาแฟ บริษัทขายเครื่องดื่มยักษ์ใหญ่หลายๆ แห่งก็เริ่มมองหาทางรอดในอนาคต รวมถึง Starbucks ที่ทุ่มเงินหลายล้านดอลลาร์เพื่อพัฒนาเมล็ดกาแฟที่สามารถทนต่อความแห้งแล้งและความร้อน แต่ยังคงรสชาติที่ดีเช่นเดิมไว้
อ้างอิงจาก
https://www.fastcompany.com/90717093/climate-change-will-make-coffee-more-expensive
https://www.independent.co.uk/climate-change/climate-change-coffee-price-arabica-b1908618.html
#Brief #TheMATTER