“พวกเขาบอกว่านี่เป็นหนังสือต้องห้าม แต่ไม่เคยถามความเห็นเรา”
เยาวชนอเมริกันรวมตัวกันตั้งชมรม ‘หนังสือต้องห้าม’ เพื่อตอบโต้เหตุการณ์ที่หลายๆ รัฐทั่วประเทศออกมาแบนหนังสือ ‘Maus’ เรื่องราวของเผด็จการนาซี นอกจากนี้หนังสือเกี่ยวกับชาติพันธุ์และ LGBTQ ยังหายไปจากห้องสมุดหลายๆ แห่งด้วย
Jordan วัย 14 ปีและ Kiara วัย 16 ปีสองพี่น้องตระกูล Daughtry เป็นหนึ่งในสมาชิกชมรมหนังสือต้องห้าม สิ่งที่พวกเขาทำคือพยายามแบ่งปันเรื่องราวในหนังสือที่ถูกกำจัด เพื่อไม่ให้มันหายไปจากสังคม โดยก่อนหน้านี้ สมาชิกชมรมเริ่มสังเกตว่าภัยคุกคามเสรีภาพในการอ่านหนังสือเริ่มใกล้เข้ามา หลังหนังสือบางประเภทเริ่มหายไปจากห้องสมุด และก่อนที่ผู้อยู่เบื้องหลังจะทำสำเร็จ เยาวชนกลุ่มนี้ตัดสินใจว่าเขาต้องทำอะไรสักอย่างเพื่อพิทักษ์หนังสือเหล่านี้
ชมรมของเหล่าเยาวชนนี้ไม่ได้ตั้งขึ้นมาแบบไร้จุดหมาย เด็กๆ จะมารวมตัวกันทุก 2 สัปดาห์เพื่อมาร่วมอ่านและถกเถียงเกี่ยวกับวรรณกรรมที่กลุ่มอนุรักษ์นิยมพยายามทำให้หายไปจากห้องสมุดไม่ว่าจะเป็น Animal Farm, Firefly, The Hate U Give และอีกหลายๆ เล่ม
ขบวนการแบนหนังสือในรัฐต่างๆ ของสหรัฐฯ เริ่มมีสัญญาณชัดเจนขึ้นเมื่อปีที่แล้ว หนังสือเกี่ยวกับชาติพันธุ์และ LQBTQ หายออกไปจากห้องสมุดในเท็กซัส, ยูทาห์, เวอร์จิเนีย, ไวโอมิง และเพนซิลเวเนีย
แต่ประเด็นนี้กลับมาอยู่ในความสนใจอีกครั้งเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว หลัง ‘Maus’ หนังสือภาพสำหรับเด็กที่เล่าถึงเหตุการณ์โฮโลคอสต์ในสงครามโลกครั้งที่ 2 โดยเปรียบทหารนาซีเป็น ‘แมว’ และชาวยิวเป็น ‘หนู’ ถูกแบนออกจากโรงเรียนในเขต McMinn รัฐเทนเนสซี โดยคณะกรรมการให้เหตุผลว่า “ใช้ภาษาหยาบคายและไม่เหมาะสม”
เด็กๆ เล่าว่าพวกเขารู้สึกโกรธเคืองและสิ้นหวังในเวลาเดียวกันที่เห็นหนังสือที่มีความหลากหลายกับกำลังค่อยๆ หายไปจากสังคม Jesse Hastings วัย 16 ปี กล่าวว่า “หนังสือจำนวนมากถูกห้ามเพียงเพราะเป็นตัวแทนของกลุ่ม LGBTQ หรือคนผิวดำ” โดยเธอมองว่าการเปิดให้เด็กๆ และเยาวชนมีสิทธิ์เข้าถึงหนังสือจะทำให้พวกเขาเข้าใจโลกมากขึ้น และสิ่งที่ตามมาคือความเข้าอกเข้าใจกันและการยอมรับความหลากหลาย ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญในการพัฒนาให้สังคมดีขึ้น
อ้างอิงจาก
https://www.theguardian.com/…/banned-book-club…
https://www.today.com/…/teens/banned-book-clubs-rcna13965