“ไม่ผิดจะกลัวอะไร”
“สุจริตชนไม่เดือดร้อน”
ฯลฯ
อาจมีบางคนคิดเช่นนี้ ต่อร่างกฎหมายที่ชื่อฟังดูดีว่าจะมาส่งเสริมให้สื่อทำงานอย่างมีจริยธรรม-มีมาตรฐานวิชาชีพ (ร่าง พ.ร.บ.ส่งเสริมจริยธรรมและมาตรฐานวิชาชีพสื่อมวลชน พ.ศ. ….) ทั้งที่ปัญหาของการที่รัฐพยายามออกร่างกฎหมายลักษณะเช่นนี้ ต่อให้สื่อนั้นๆ ไม่ได้ทำอะไรผิด-ทำงานโดยสุจริต-เป็นมืออาชีพ-ยึดมั่นในจรรยาบรรณสุดๆ ก็อาจจะเจอกับลงโทษ เพราะสื่อกับรัฐนั้นถือเป็น ‘คู่ตรงข้ามโดยธรรมชาติ’ อยู่แล้ว เนื่องจากประชาชนคาดหวังให้สื่อคอยตรวจสอบการทำงานของรัฐ การใช้เงินภาษีของประชาชน ไปจนถึงการใช้อำนาจมิชอบใดๆ
แสดงให้เห็นว่า รัฐเองก็มี ‘แรงจูงใจ’ ที่จะกำกับการทำงานของสื่อ
ในระดับนานาชาติ การกำกับดูแลสื่อจึงมักจะกันไม่ให้ภาครัฐเข้ามาเกี่ยวข้อง หรือเกี่ยวข้องน้อยที่สุด แต่จะให้ภาคประชาสังคม หรือให้สื่อมวลชนนั่นแหละกำกับดูแลกันเอง
สำหรับร่างกฎหมายชื่อดูดีอย่าง ร่าง พ.ร.บ.ส่งเสริมจริยธรรมและมาตรฐานวิชาชีพสื่อมวลชน พ.ศ. …. เรียกสั้นๆ ว่า ร่าง พ.ร.บ.สื่อ ซึ่งที่ประชุม ครม. มีมติเห็นชอบไปเมื่อวันที่ 11 ม.ค.2565 มีสาระสำคัญอะไร และมีอะไรที่น่าเป็นห่วงบ้าง The MATTER ขอสรุปให้ได้อ่านกันอีกครั้ง
เพราะแม้จะไม่ใช่ร่างกฎหมายที่ป๊อปปูล่าร์ มีคนพูดถึงจำนวนมากอย่างร่างกฎหมายสุราก้าวหน้า หรือร่างกฎหมายสมรสเท่าเทียม เนื่องจากจู่ๆ ก็โผล่ออกมา แต่อยากให้ช่วยกันจับตา เพราะจะมีผลกระทบกับคนจำนวนมากแน่ๆ ไม่ใช่แค่คนในวงการสื่อเท่านั้น
- แม้ภาพรวมเนื้อหาร่างกฎหมายนี้จะดีขึ้นกว่าฉบับที่เคยผลักดันสมัยรัฐบาล คสช.ช่วง 4-5 ปี ไม่มีเรื่องใบอนุญาต ไม่มีการส่งคนจากรัฐให้มาเป็นกรรมการคุมสื่อ และไม่มีบทลงโทษทางอาญา ทั้งนี้เราทราบมาว่าเนื่องจากมีคนในองค์กรวิชาชีพสื่อปัจจุบันเข้าไปช่วยกลั่นกรองด้วย แต่เนื้อหาหลายจุดก็น่ากังวล เช่น มาตรา 5 ที่กำหนดว่า “(สื่อ)มีเสรีภาพในการเสนอข่าวสาร..แต่การใช้เสรีภาพนั้นต้องไปขัดต่อหน้าที่ของปวงชนชาวไทยหรือศีลธรรมอันดี” ซึ่งเป็นชุดถ้อยคำที่ภาครัฐใช้ขยายความเพื่อจำกัดสิทธิเสรีภาพของประชาชนเสนอ โดยเฉพาะช่วงหลายปีหลัง
- ‘สื่อ’ ที่จะอยู่ภายใต้ร่าง พ.ร.บ.นี้ ก็คือผู้ที่ใช้นำเสนอเนื้อหาไปสู่ประชาชนเพื่อประโยชน์สาธารณะ โดยยกเว้นแค่ผู้ไม่แสวงหากำไรเท่านั้น นั่นคือประชาชนทั่วๆ ไปที่ใช้โซเชียลมีเดียจะไม่นับ แต่ถ้าคุณมีรายได้หรือมีกำไรจากการสื่อสารข้อมูลที่เป็นประโยชน์สาธารณะ ก็จะถูกนับว่าเป็นสื่อภายใต้ร่างกฎหมายนี้ทันที ซึ่งแปลว่า นอกจากสื่อกระแสหลัก ยังอาจรวมไปถึงสื่อพลเมือง ยูทูปเบอร์ ติ๊กต๊อกเกอร์ หรือชาวเน็ตอื่นๆ ที่เข้าเงื่อนไข – และไม่มีตรงไหนที่เขียนว่าจะใช้เฉพาะกับสื่อไทยด้วย
- สาระสำคัญของร่าง พ.ร.บ.สื่อ คือการจัดตั้ง ‘สภาวิชาชีพสื่อมวลชน’ ขึ้นมา เพื่อกำหนดมาตรฐานจริยธรรมสื่อ ซึ่งแม้จะไม่มีการกำหนดให้ตัวแทนรัฐเข้ามาเป็นกรรมการเช่นร่างกฎหมายในอดีต แต่ในกรรมการสภาฯ ทั้ง 11 คน ก็มีผู้จัดการกองทุนสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์ที่อาจถือว่าเป็นรัฐ ติดมาด้วย 1 คน นอกจากนี้ ยังกำหนดให้สภาฯ นี้จะได้รับเงินอุดหนุนจากรัฐปีละอย่างน้อย 25 ล้านบาท (และสูงสุดไม่เกิน 200 ล้านบาท) จึงถูกวิพากษ์วิจารณ์ว่า อาจเป็นช่วงทางให้รัฐเข้ามาแทรกแซงการทำงานได้ ผ่านการให้เงินอุดหนุน
- นักข่าว นักวิชาการและประชาชนจำนวนหนึ่ง เคยร่วมกันลงชื่อแสดงความเป็นห่างร่าง พ.ร.บ.สื่อ ว่ามีการกำหนดให้ที่มากรรมการสภาฯ มาจากกลุ่มคนที่อยู่ในวงจำกัด เช่นนั้นกลุ่มบุคคลดังกล่าวจะ ‘มีความเป็นตัวแทน’ คนในวงการสื่อได้มากน้อยเพียงใด แต่กลับมีวาระดำรงตำแหน่งถึง 4 ปี และเป็นได้ 2 สมัยติดต่อกัน รวม 8 ปี
- แม้บทลงโทษตามร่าง พ.รงบ.สื่อ อาจมีแค่ 3 อย่าง คือ ‘ตักเตือน’ ‘ภาคทัณฑ์’ และ ‘ประจาน’ ไม่มีโทษทางอาญาเช่นในอดีตซึ่งรัฐอาจเข้าใช้กำหนดเพดานการทำงานของสื่อได้ ทว่าเนื่องจากร่างกฎหมายนี้ถูกส่งมาเป็น ‘ร่างกฎหมายปฏิรูปประเทศ’ จึงเป็นไปได้ว่า เมื่อถูกส่งให้รัฐสภา จะถูกหยิบมาพิจารณาในที่ประชุมร่วมกันของ ส.ส. และ ส.ว.แต่งตั้ง ซึ่งคนทั้งประเทศต่างรู้ว่า ส.ว.แต่งตั้งทั้ง 100% เป็นคนของรัฐ มีโอกาสจะถูกปรับแก้ให้ไปจำกัดการทำงานของสื่อ และเพื่อรับใช้รัฐได้สูง
ถามว่าแล้ว –พวกเรา- ไม่ว่าจะเป็นสื่อหรือไม่ จะทำอะไรได้บ้าง ตอนนี้สิ่งที่พอจะทำได้ก็คือไปร่วมลงชื่อหากมีแคมเปญคัดค้าน หรือช่วยกันจับตาและส่งเสียงถ้าร่างกฎหมายนี้ถูกบรรจุเข้าวาระการประชุมสภาฯ ไม่เช่นนั้น นี่อาจเป็นอีกถึงร่างกฎหมายที่ทำให้สิทธิเสรีภาพของพวกเราลดลงอีกครั้ง
– วันก่อนทาง nitihub ได้เปิดเวทีพูดคุยถึงข้อกังวลเกี่ยวกับร่าง พ.ร.บ.สื่อ ชวนย้อนกลับไปฟังกันได้: https://www.facebook.com/Prachatai/videos/518229093307714
#Brief #TheMATTER