12 มีนาคม 2547 เป็นวันสุดท้ายที่มีคนพบ สมชาย นีละไพจิตร ทนายความด้านสิทธิมนุษยชน ก่อนช่วงค่ำจะถูกกลุ่มคนร้าย 5-6 คนลักพาตัวไป และไม่มีใครเจอเห็นเขาอีกเลย
18 ปีที่สูญหาย
18 ปีที่ยังมีคนไม่ได้รับโทษ
และ 18 ปีที่ทนายสมชายยังไม่ได้กลับบ้าน
ทนายสมชาย เป็นนักเคลื่อนไหวที่มีชื่อเสียงจากการทำคดีเกี่ยวข้องกับสิทธิมนุษยชน เขามีบทบาทสำคัญในการช่วยให้ผู้ต้องหาคดีความมั่นคงในจังหวัดชายแดนภาคใต้พ้นผิด จนศาลยกฟ้องไปหลายคดี และหนึ่งในนั้นคือคดีแฉพฤติกรรมของเจ้าหน้าที่ตำรวจกลุ่มหนึ่ง บังคับให้ผู้ต้องสงสัยคดีปล้นปืนจากค่ายทหารที่นราธิวาส เมื่อวันที่ 4 มกราคม 2547 กินอุจจาระ จับมัดมือ ใช้ไฟฟ้าช็อต ฯลฯ จนผู้ต้องสงสัยต้องยอมรับผิด ทั้งที่ยืนยันว่าไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง
และคดีนี้ได้มาเกี่ยวข้องกับการหายตัวไปของทนายสมชายในวันที่ 12 มีนาคม 2547
ในช่วงกลางดึกของคืนดังกล่าว ทนายสมชายขับรถบนถนนเส้นรามคำแหงเพื่อจะไปบ้านเพื่อน แต่ระหว่างทางมีรถคันหนึ่งขับมาชนท้าย เขาจึงต้องจอดและลงไปตรวจเช็กความเสียหาย ก่อนกลุ่มชายฉกรรจ์จำนวน 5-6 คนจะจับตัวเป้าหมายยัดใส่รถ และขับออกไป โดยมีคนหนึ่งขับรถของทนายสมชายตามไปด้วย และนั่นเป็นครั้งสุดท้ายที่มีคนเห็นทนายผู้พิทักษ์ความยุติธรรมของชาวมุสลิม
หลังการหายตัวไป ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีในสมัยนั้นได้ตั้งคณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริงกรณีการหายตัวไปของทนายสมชายขึ้นมา ก่อนจะพบหลักฐานว่า กลุ่มตำรวจที่ทำคดีทรมานผู้ต้องสงสัยปมปล้นปืน เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ลักพาตัวนี้ โดยโทรศัพท์ของหนึ่งในนั้นมีการติดตามทนายสมชายตั้งแต่เช้า อีกทั้งผู้ต้องสงสัยคดีปล้นปืนก็มาร่วมชี้ตัวว่า มีตำรวจที่เคยทรมานตนจริง
หลังจากล็อกเป้าคนผิด ก็มีการจับกุมตำรวจ 5 คนที่เกี่ยวข้องกับการหายตัวไปของทนายสมชาย ซึ่งทั้งหมดให้การปฏิเสธ ต่อมาศาลอาญาก็พิพากษาจำคุกนายตำรวจ 1 คนเป็นเวลา 3 ปี ส่วนที่เหลือยกฟ้อง เนื่องจากหลักฐานไม่เพียงพอ แต่ท้ายที่สุด ศาลอุทธรณ์พิจารณายกฟ้องนายตำรวจรายนี้ด้วย หลังจากนั้นศาลฎีกาก็จบคดีด้วยกันยึดตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ยกฟ้องจำเลย ทั้ง 5 คน
สำหรับเหตุที่ยกฟ้อง ศาลฎีกาให้เหตุผลว่า คดีดังกล่าวไม่มีผู้มีอำนาจฟ้องคดีมาเป็นโจทก์ เพราะตามกฎหมายบอกไว้ว่า ครอบครัวจะฟ้องแทนผู้เสียหายได้ก็ต่อเมื่อผู้เสียหายเสียชีวิตหรือบาดเจ็บจนดำเนินการเองไม่ได้เท่านั้น แต่ในกรณีนี้เป็นความผิดฐานข่มขืนใจผู้อื่นตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 309 ครอบครัวทนายสมชายจึงไม่มีสิทธิเป็นโจทก์ ก่อนคดีทุกอย่างจะจบลงโดยที่ครอบครัวทนายสมชายทำได้เพียงยอมรับความเป็นไป
คดีของทนายสมชายแสดงให้เห็นช่องโหว่ของกฎหมายอาญาปกติ ในการเอาผิดเจ้าหน้าที่รัฐที่ไปเกี่ยวข้องกับการซ้อมทรมานและอุ้มหาย แต่ก็ยังไม่สิ้นหวังเสียทีเดียว เพราะเมื่อวันที่ 23 กุมภาพันธ์ 2565 สภาผู้แทนราษฎรมีมติเห็นชอบร่าง พ.ร.บ.ป้องกันการทรมานและอุ้มหาย และวุฒิสภาก็มีมติรับหลักการวาระที่ 1 แล้ว หลังจากนี้คงต้องจับตาดูกันต่อไป ว่ากฎหมายที่ใช้เวลาผลักดันนานเกือบ 10 ปีจะคลอดออกมาให้ได้เห็นกันเมื่อไหร่
สำรวจ ‘ร่าง พ.ร.บ.ป้องกันทรมาน-อุ้มหาย’ ฉบับล่าสุด : https://thematter.co/…/prevent-forced…/168474
อ่านบทสัมภาษณ์ของ อังคณา นีละไพจิตร ผู้เป็นภรรยา ได้ที่ : https://thematter.co/…/angkhana-neelaphaijit…/114718
อ้างอิงจาก
https://www.thairath.co.th/news/local/bangkok/1654923