“คุณจะไม่ได้ยินดิฉันเอ่ยถึงชื่อเขา เขาเป็นผู้ก่อการร้าย เขาเป็นอาชญากร เขาเป็นพวกหัวรุนแรง แต่ในขณะที่ดิฉันพูด เขาจะเป็นบุคคลนิรนาม
“และถึงทุกท่าน ดิฉันร้องขอคุณ ให้เอ่ยถึงชื่อของผู้ที่สูญเสีย แทนชื่อของชายผู้พรากพวกเขาไป เขาอาจแสวงหาชื่อเสียง แต่เรา ในนิวซีแลนด์ จะไม่ให้อะไรแก่เขาเลย ไม่แม้กระทั่งชื่อ”
นี่คือสุนทรพจน์อันโด่งดัง ของ ‘จาซินดา อาร์เดิร์น’ นายกรัฐมนตรีนิวซีแลนด์ ที่ลุกขึ้นพูดกลางรัฐสภา เมื่อวันที่ 19 มี.ค. 2562 สี่วันหลังเกิดเหตุกราดยิงมัสยิดในเมืองไครสต์เชิร์ช ที่เรียกได้ว่า เป็นเหตุการณ์สังหารหมู่ที่รุนแรงที่สุดในประวัติศาสตร์นิวซีแลนด์
เหตุการณ์ดังกล่าวเป็นการก่อเหตุของชายจากออสเตรเลีย ที่มีรายงานว่าเชื่อในอุดมการณ์ขวาจัด และเกลียดชังศาสนาอิสลาม จึงนำมาสู่การก่อการร้าย โจมตีมัสยิด 2 แห่ง คือ มัสยิดอันนูร และศูนย์อิสลามลินวูด ในเมืองไครสต์เชิร์ช เมื่อวันที่ 15 มี.ค. 2562 พลางไลฟ์เฟซบุ๊กขณะก่อเหตุ เหตุการณ์นี้ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิต 51 ราย และบาดเจ็บอีก 40 ราย
และแม้อาร์เดิร์นจะกล่าวว่า ผู้ก่อเหตุอาจจะอยากได้ชื่อเสียง แต่สุดท้าย คนที่จะกลายมาเป็นหน้าตาของการรับมือเหตุการณ์ครั้งนี้ ก็คือตัวนายกฯ อาร์เดิร์นเอง ที่ได้รับการยกย่องจากทั้งในประเทศและต่างประเทศ ด้วยปฏิกิริยาที่มีประสิทธิภาพและรวดเร็วต่อเหตุการณ์และการแก้ปัญหาต้นเหตุ จนพาประเทศชาติข้ามผ่านวิกฤตครั้งนี้มาได้
นายกฯ อาร์เดิร์น ทำอะไรบ้าง?
เพียงหนึ่งวันหลังเกิดเหตุ อาร์เดิร์นก็ออกมาประกาศทันที ว่าจะเดินหน้าผลักดันแก้ไขกฎหมาย เพื่อควบคุมอาวุธปืนให้เข้มงวดกว่านี้ ก่อนที่จะประกาศรายละเอียดหนึ่งสัปดาห์หลังจากนั้น โดยจะแบนอาวุธกึ่งอัตโนมัติ แม็กกาซีนที่มีความจุสูง รวมถึงชิ้นส่วนใดๆ ก็ตามที่นำมาดัดแปลงใส่ปืนได้ แบบเดียวกับที่ผู้ก่อเหตุใช้ในการกราดยิง
หลังจากนั้นอีกไม่ถึงเดือน เมื่อวันที่ 10 เม.ย. 2562 รัฐสภานิวซีแลนด์ก็ลงมติอย่างท่วมท้น ด้วยคะแนนเสียง 119:1 ผ่านร่างแก้ไขกฎหมายเพื่อแบนอาวุธปืนกึ่งอัตโนมัติและปืนไรเฟิลจู่โจมแทบทุกชนิดทั้งประเทศ
“นิวซีแลนด์มีความผิดปกติตรงที่อาวุธปืนที่มีพลังทำลายล้างได้ขนาดนี้ สามารถหาได้ทั่วไป” นายกฯ อาร์เดิร์น กล่าวกับรัฐสภา ในวันลงมติเรื่องดังกล่าว “วันนี้ ความผิดปกตินั้นต้องยุติลง” เธอยังบอกอีกว่า ที่ต้องมาลงมติกันในวันนั้น ก็เนื่องจากผู้แทนในรัฐสภา ถือเป็น ‘เสียง’ ให้กับเหยื่อในเหตุการณ์ครั้งนั้น
มากไปกว่านั้น อาร์เดิร์นยังเอาจริงเอาจังกับการแก้ปัญหาความเกลียดชัง ซึ่งถือเป็นหนึ่งในต้นตอที่ก่อให้เกิดเหตุการณ์อันน่าสลดครั้งนั้น ด้วยการผลักดันให้เกิดโครงการความร่วมมือกับฝรั่งเศส ที่ชื่อว่า ‘ไครสต์เชิร์ชคอล’ (Christchurch Call) เพื่อแก้ปัญหาไม่ให้ผู้ก่อการร้ายใช้แพลตฟอร์มออนไลน์ อย่างเช่นเฟซบุ๊ก เป็นเครื่องมือ
ล่าสุดเมื่อไม่นานมานี้ เมื่อวันที่ 21 ก.ย. 2565 ที่ผ่านมา อาร์เดิร์นยังออกมาประกาศว่า โครงการไครสต์เชิร์ชคอล เพิ่งจะผนึกกำลังระหว่างนิวซีแลนด์ สหรัฐฯ ทวิตเตอร์ และไมโครซอฟต์ เพื่อร่วมลงทุนในเทคโนโลยีใหม่ๆ ที่จะช่วยให้นักวิจัยทำความเข้าใจการทำงานของอัลกอริทึมได้มากขึ้นด้วย
แต่ที่สำคัญก็คือ การเป็นที่พึ่งทางจิตใจให้กับประชาชน ซึ่งอาร์เดิร์นก็ทำได้สำเร็จตั้งแต่ในวันแรกๆ ภายหลังเกิดเหตุ จนกลายเป็นที่ชื่นชมของทั้งนิวซีแลนด์และทั่วโลก ถึงขั้นเกิดเป็นปรากฏการณ์ชื่นชมในตัวนายกฯ นิวซีแลนด์หลังจากนั้น ที่เรียกกันว่า ‘Jacindamania’
ตัวอย่างที่กลายเป็นที่จดจำ คือ ภาพของการแสดงความห่วงใยและความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับชุมชนมุสลิม ด้วยการโพกหัวเฉกเช่นมุสลิม ก่อนจะสวมกอดเหยื่อจากเหตุการณ์นี้อย่างจริงใจ จนสุดท้าย ภาพข่าวของการสวมกอดดังกล่าว ทำให้อาร์เดิร์นกลายเป็นที่ยกย่องไปทั่วโลก
อ้างอิงจาก
https://www.reuters.com/article/us-newzealand-shootout-guns-idUSKCN1QX05S
https://www.vox.com/2019/4/10/18304415/new-zealand-gun-control-mosque-shootings-assault-weapons-ban
https://www.bbc.com/news/world-asia-47630129