รายงานฉบับใหม่จากองค์กรอนุรักษ์สัตว์ป่า WWF ชี้ว่า ตั้งแต่ปี 1970 ถึงปี 2018 จำนวนสัตว์ป่าทั่วโลกลดลงมากถึง 69% โดยมีสาเหตุหลักมาจากกิจกรรมของมนุษย์และภาวะโลกร้อนที่รุนแรงขึ้นเรื่อยๆ
รายงานดังกล่าวเน้นถึงปัญหาสภาพภูมิอากาศที่พวกเขาเรียกว่า “ภาวะฉุกเฉินเป็นสองเท่า (Double Emergency)”, ปัญหาการลดลงของจำนวนสายพันธุ์สัตว์, วิกฤตที่อยู่อาศัยของสัตว์ป่า, การใช้ประโยชน์จากสัตว์ป่าและพันธุ์พืชที่มากเกิน
โดยพื้นที่ที่สัตว์ได้รับผลกระทบมากที่สุดคือทวีปอเมริกาใต้และแถบทะเลแคริบเบียน (94%), แอฟริกา (66%), เอเชีย (55%), อเมริกาเหนือ (20%) และทวีปยุโรปและเอเชียกลาง (18%)
สำหรับชนิดที่มีจำนวนลดลงมากที่สุดคือ ปลาแม่น้ำ โดยลดลงมากถึง 83% เนื่องจากอุณหภูมิของโลกที่ร้อนขึ้นเรื่อยๆ ทำให้แม่น้ำมีอุณหภูมิสูงขึ้นตามไป จนที่อยู่อาศัยและแหล่งหลบภัยของปลาแม่น้ำลดลง อย่างไรก็ตาม เขื่อนยังคงเป็นสาเหตุเหนือภาวะโลกร้อนที่ทำให้จำนวนปลาแม่น้ำลดลงอยู่ดี
รายงานยังเผยว่า ปัจจุบันมีสัตว์ป่าและพันธุ์พืชจำนวน 1 ล้านสายพันธุ์ที่เสี่ยงต่อการสูญพันธุ์ ขณะที่มีสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม, สัตว์ปีก, ปลา และสัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำราว 1%-2.5% ที่สูญพันธุ์ไปเรียบร้อยแล้ว
อีกปัญหาหนึ่งที่ซ่อนอยู่คือ อคติต่อสัตว์ที่ไม่เป็นที่รู้จักซึ่งทำให้พวกมันมีจำนวนลดลงอย่างต่ำเนื่อง อาทิ โลมาสีชมพูแถบแม่น้ำแอมะซอน ซึ่งนับตั้งแต่ปี 1994 มีจำนวนลดลงถึง 65% กอลิลลาภูเขาในประเทศคองโก ที่มีจำลดลงถึง 80% หรือสิงโตทะเลในออสเตรเลีย ที่มีจำนวนลดลง 64%
อย่างไรก็ตาม รายงานฉบับนี้ไม่ได้เก็บข้อมูลของสัตว์ป่าทั้งหมด แต่เน้นไปที่สัตว์มีกระดูกสันหลัง เนื่องจากสัตว์ที่ไม่มีกระดูกสันหลังเก็บข้อมูลได้ยาก
อ่านรานงานฉบับเต็มได้ที่:
https://wwflpr.awsassets.panda.org/downloads/lpr_2022_full_report.pdf
อ้างอิง: