ค่าแรง 43 บาท (1 ปอนด์) ต่อชั่วโมง เพื่อทำเสื้อทีมชาติอังกฤษที่ขายในราคา 4,900 บาท (115 ปอนด์) นี่คือสถานการณ์ที่เกิดขึ้นในโรงงานแห่งหนึ่งในกรุงเทพฯ จากการเปิดเผยในรายงานเชิงสืบสวนของสื่ออังกฤษอย่าง The Mirror
สื่อแท็บลอยด์รายดังกล่าวระบุว่า สถานที่ผลิตเสื้อไม่ได้มีข้อมูลบอกไว้ในเว็บไซต์ของสมาคมฟุตบอลอังกฤษ (FA) แต่ถ้าไปดูป้ายบนเสื้อ ก็จะพบว่า เป็นการผลิตให้กับไนกี้ (Nike) ในประเทศไทย ซึ่งก็คาดว่า กำไรที่ได้จากการขายเสื้อ จะถูกแบ่งกันระหว่างไนกี้ FA และผู้ค้าปลีก
แหล่งข่าวที่เป็นแรงงานในโรงงานผลิต ให้สัมภาษณ์กับ The Mirror ว่า พวกเขาได้ค่าจ้าง 331 บาทต่อวัน ต่อมาเมื่อค่าแรงขั้นต่ำเพิ่มขึ้น ก็ได้เพิ่มเป็น 353 บาทต่อวัน และโดยปกติจะต้องทำงาน 60 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ หรือ 8-11 ชั่วโมงต่อวัน ซึ่งก็จะได้ค่า OT รวมถึงโบนัสด้วย ถ้ากำไรเป็นไปตามเป้า
อย่างไรก็ดี แหล่งข่าวเดียวกันเปิดเผยเพิ่มเติมว่า ที่โรงงานไม่ได้มีสหภาพแรงงาน ในขณะทำงานก็มีนโยบายห้ามใช้โทรศัพท์ และภายในโรงงานก็ไม่อนุญาตให้ถ่ายภาพได้
ทั้งนี้ ผู้เชี่ยวชาญด้านอุตสาหกรรมเสื้อผ้าชี้ว่า ปกติเสื้อประเภทนี้จะมีต้นทุนอยู่ประมาณตัวละ 475-518 บาท (11-12 ปอนด์) ตกเป็นค่าวัสดุ 324 บาท (7.5 ปอนด์) ค่าตัดเย็บ (รวมค่าแรง) ที่เรียกว่า ‘Cut-Make-Trim’ (CMT) ไม่เกิน 129 บาท (3 ปอนด์) ทำให้โรงงานจะได้กำไรประมาณตัวละ 65 บาท (1.5 ปอนด์)
แต่พอมาถึงอังกฤษ หลังจากที่เก็บภาษีนำเข้าและ VAT ไปแล้ว ก็จะพบว่า ราคาเสื้อแบบ ‘สเตเดียม’ (สำหรับแฟนบอลใส่เชียร์) มีราคาอยู่ที่ประมาณ 75 ปอนด์ หรือราว 3,200 บาท และหากเป็นเสื้อแบบเดียวกับที่ใส่แข่ง หรือเสื้อ ‘แมตช์’ ราคาก็เพิ่มขึ้นไปอีก อยู่ที่ 115 ปอนด์ หรือราว 4,900 บาท
ราคาเสื้อที่พุ่งเร็วกว่าค่าครองชีพ ยังทำให้แฟนบอลในอังกฤษ ออกมาวิพากษ์วิจารณ์กันอย่างหนักด้วย
เรย์ เอ็ลลิส (Ray Ellis) แฟนบอลคนหนึ่ง ให้สัมภาษณ์กับ The Mirror ว่า “ผมไม่อยากเชื่อเลยว่าจะมีใครยอมจ่ายในราคาที่ขูดกันโชกกันแบบนี้ สำหรับเสื้อฟุตบอลอังกฤษรุ่นล่าสุด ใครก็ตามที่ซื้อ โดยเฉพาะในช่วงเวลาที่เศรษฐกิจฝืดเคืองแบบนี้ ต้องมีเงินมากกว่าเหตุผลแน่ๆ”
อ้างอิงจาก