ทันทีที่เปิดครึ่งหลังจนถึงสิ้นสุดเสียงนกหวีด เชื่อว่าแฟนบอลหลายคนคงตกใจไม่น้อยกับผลสกอร์ที่ ซาอุดิอาระเบียเฉือนเอาชนะอาร์เจนตินาไปได้ด้วยสกอร์ 2-1 แต่นอกจากแท็กติกที่ถูกวางมาเป็นอย่างดี สาเหตุที่ทำให้ซาอุฯ ล้มแชมป์โลก 2 สมัยในฟุตบอลโลกครั้งนี้มีมากกว่านั้น
หลายคงคงเคยได้ยินกับ ‘แผนปฏิรูปซาอุดิอาระเบีย 2030 (Saudi Arabia’s Vision 2030)’ ซึ่งมุ่งเปลี่ยนซาอุฯ จากประเทศที่พึ่งพิงทรัพยากรน้ำมัน กลายเป็นประเทศแห่งโลกสมัยใหม่ที่มีเศรษฐกิจหลากหลาย สภาพสังคมมีความเท่าเทียม แต่คงไว้ซึ่งหลักการของศาสนาอิสลาม
สำหรับแผนปฏิรูปซาอุดิอาระเบีย 2030 มีหลักการ 3 ข้อ ได้แก่
- ชาติที่ทะเยอทยาน (Ambitious Nation) มุ่งสร้างรัฐบาลอิเล็กทรอนิกส์ เพิ่มประสิทธิภาพการบริหารงาน สร้างประชากรที่มีคุณภาพ และสังคมที่เปี่ยมไปด้วยความรับผิดชอบต่อสังคม
- เศรษฐกิจเฟื่องฟู (Thriving Economy) มุ่งจ้างงาน สนับสนุนสิทธิผู้หญิง ดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศ เพื่อหลุดจากระบบเศรษฐกิจที่พึ่งพิงน้ำมัน
- สังคมมีชีวิตชีวา (Vibrant Society) สร้างอัตลักษณ์ของประเทศที่ยึดโยงกับคุณค่าทางอิสลาม
ภายใต้กรอบใหญ่ดังกล่าว ประกอบไปด้วยตัวชี้วัดย่อยอีก 96 ข้อ ซึ่งหนึ่งในนั้นคือเรื่องของฟุตบอล โดยสหพันธ์ฟุตบอลซาอุฯ (SAFF) ได้ตั้งเป้าที่จะผลักดันให้ทีมชาติก้าวขึ้นจากลำดับที่ 61 ตามการจัดลำดับของสหพันธ์ฟุตบอลนานาชาติ ขึ้นมาเป็นประเทศที่ติดท็อป 20 ของโลกให้ได้
และดูเหมือนพวกเขาไม่ได้พูดเล่นๆ เพราะจนถึงเดือนสิงหาคมปี 2022 รัฐบาลซาอุฯ ได้ใช้เงินจากกองทุนความมั่งคั่งแห่งชาติ PIF (Public Investment Fund) ลงไปกับกีฬาฟุตบอลมากถึง 2.3 พันล้านดอลลาร์ (ประมาณ 83,384 ล้านบาท) โดยส่วนใหญ่ของเงินจำนวนนี้ ถูกใช้เพื่อพัฒนาโครงสร้างกีฬาฟุตบอลภายในประเทศ อาทิ การอบรมโค๊ชและกรรมการ รวมถึงมอบให้แก่สโมสรเพื่อพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและระบบเยาวชน
นอกจากนี้ยังมีการเปลี่ยนระบบบริหารของสโมสรฟุตบอล จากแต่เดิมที่รัฐบาลเป็นเจ้าของก็ขายให้เอกชนเข้ามาบริหารแทน เพื่อแก้ปัญหาคอรัปชั่นที่เรื้อรังวงการฟุตบอลของซาอุฯ มานานนม นอกจากนี้ SAFF ยังได้ว่าจ้างผู้เชี่ยวชาญเรื่องฟุตบอลจากลีกยุโรปมาปรับปรุงกฎของลีก โดยหนึ่งในนั้นคือการออกกฎใหม่ บังคับให้สโมสรต้องใช้รายได้ 30% เพื่อลงทุนไปกับการพัฒนาระบบเยาวชนและโครงสร้างพื้นฐานของสโมสร
ส่วนในระดับนอกประเทศ ในปี 2021 มงกุฎราชกุมารมุฮัมมัด บิน ซัลมานได้อนุมัติเงินจากกองทุน PIF จำนวน 300 ล้านปอนด์ เพื่อซื้อสโมสรฟุตบอลนิวคาสเซิล ยูไนเต็ด ซึ่งในแง่หนึ่งเป็นการปูทางให้แก่นักเตะและเยาวชนซาอุฯ สู่ลีกที่แข็งแกร่งที่สุดในยุโรป
อีกประเด็นที่น่าสนใจคือ การสนับสนุนสิทธิของสตรีในซาอุฯ โดยสหพันธ์ฟุตบอลซาอุฯ ได้ผลักดันให้เกิดลีกแข่งขันฟุตบอลหญิงซาอุฯ จนสำเร็จในปี 2020 และในปัจจุบันได้เกิดสโมสรฟุตบอลหญิง 24 แห่ง และมีนักกีฬาหญิงราว 600 คนแล้ว
การผลักดันให้เกิดฟุตบอลหญิง เกิดขึ้นภายใต้แนวคิดเดียวกับเรื่องอนุญาตให้ผู้หญิงขับรถ เพราะนอกจากทำให้ผู้หญิงมีที่ทางในสังคม มันยังสร้างธุรกิจใหม่ๆ อาทิ ผ้าคลุมอาบายาสำหรับเล่นกีฬา รวมถึงกระตุ้นยอดขายรองเท้าฟุตบอลและเพิ่มจำนวนแฟนบอลที่เข้าชมในสนามฟุตบอลด้วย
ซาอุฯ ยังตั้งเป้าไว้สูงกว่านั้น เพราะมีรายงานว่า พวกเขาได้จับมือกับอียิปต์และกรีซ เพื่อเสนอตัวเป็นเจ้าภาพบอลโลกในปี 2030 ซึ่งจะมีการเพิ่มจำนวนทีมให้เป็น 48 ทีม ซึ่งถ้าสำเร็จแน่นอนว่าจะเป็นการโปรโมตการท่องเที่ยวและเปลี่ยนภาพลักษณ์ของประเทศเศรษฐีน้ำมันแห่งนี้ขนานใหญ่
อนาคตฟุตบอลซาอุฯ จะเป็นอย่างไรยังต้องติดตามกันต่อไป แต่ที่แน่ๆ ชัยชนะเหนืออาร์เจนตินานับเป็นความสำเร็จก้าวสำคัญของพวกเขา อ้อ และยังกลายเป็นวันหยุดของคนทั้งประเทศอีกด้วย
อ้างอิงจาก:
https://www.ft.com/content/ce556bac-30cc-49c6-b883-5cab67ce5379
https://www.sanook.com/sport/1320821/
https://plus.thairath.co.th/topic/speak/101013