เสียงเฮที่เคยดังขึ้นเมื่อราว 8 เดือนก่อน ค่อยๆ เบาลงจนคล้ายไม่เคยเกิดขึ้น ถือเป็นภาพที่อธิบายความรู้สึกของ #ม็อบชาวนา ได้เป็นอย่างดี หลังต้องเฝ้ารอการดำเนินการแก้ไขปัญหาหนี้สิน ของเกษตรกรสมาชิกกองทุนฟื้นฟูและพัฒนาเกษตรกร ตามมติครม. ที่มีตั้งแต่วันที่ 22 มีนาคม 2565
และเมื่อรอแล้วรออีกยังไม่เป็นผล พวกเขาจึงจำต้องเดินทางเข้ากรุงเพื่อทวงถามสัญญาที่เคยให้ไว้
“มันเกิดจากการทำนา ทำไร่ ทำสวน ขาดทุน โดยรัฐบาลไม่มีความรับผิดชอบ ตลอดระยะเวลาตั้งแต่ 2505 แผน 1 (แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 2) ที่คุณเปลี่ยนนโยบาย” เป็นสิ่งที่ ชรินทร์ ดวงดารา ที่ปรึกษาเครือข่ายหนี้สินชาวนาแห่งประเทศไทย หรือ คนท. อธิบายให้กับ The MATTER ในวันที่เรามีโอกาสไปพูดคุยกับบรรดาเกษตรกรที่มาปักหลักค้างแรม
“ตอนนี้หลักมันจบแล้ว ส่วนที่ชาวบ้านต้องรับภาระหนี้ครึ่งเดียวของเงินต้น อันนี้ไม่ต้องมีดอกเบี้ย รายละเอียดปลีกย่อย คือ คุณทำสัญญา 15 ปี กี่ปีก็ได้แล้วแต่มูลหนี้ หนี้น้อยก็อาจจะน้อยปี หนี้มากก็อาจจะมาก แต่ไม่เกิน 15 ปี”
สำหรับสิ่งที่ทำให้เกิดหนี้พอกพูนที่ผ่านมา สืบเนื่องจากธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร หรือ ธ.ก.ส. มีการปรับดอกเบี้ยขึ้นในกรณีที่ชาวบ้านผิดนัดชำระ โดยไม่ได้นำสถานการณ์ที่เกิดขึ้นในช่วงเวลานั้นมาพิจารณา
“คุณไม่สามารถคาดการณ์ได้เลยว่า ปีนี้เกษตรกรต้องเจออะไร อย่างปีนี้น้ำท่วมภาคกลางหมดเลยนะสมมติคุณทำสัญญาแบบเดิม แล้วชาวบ้านประสบปัญหาน้ำท่วม ฝนแล้ง หรือโรคภัยต่างๆ ก็ต้องมาทำเรื่องขอผ่อนผัน”
แก้หนี้ชาวนาช่วยประเทศได้อย่างไร? เป็นคำถามที่มักถูกยกขึ้นมาถกเถียงอยู่บ่อยครั้ง ชรินทร์ เล่าว่า ตลอดหลายสิบปีหนี้สินชาวนาถูกสังคมตราหน้าว่า “เพราะเขาขี้เกียจ เขาใช้เงินไม่เป็น เพราะเขาไม่มีบัญชีครัวเรือน ไม่มีวินัยการเงิน ได้เงินมาก็กัดปลาตีไก่ กินเหล้า เล่นการพนัน มีเงินมากก็จัดงานแต่งงานบวชลูกหลายใหญ่โต”
โดยไม่เคยหันกลับไปมองจุดเริ่มต้นของหนี้ก้อนโตเหล่านี้ โดยเฉพาะประเด็น “สินค้าทุนเกษตร” ที่รัฐไม่เคยเข้ามาดูแล “เคยเห็นรัฐบาลไหนประกาศให้ปุ๋ยเป็นสินค้าควบคุมไหม ไม่มี สมัยอดีตนายกฯ ยิ่งลักษณ์ ข้าวราคา 15,000 บาท/กระสอบ ปุ๋ยยูเรีย 1,200 บาท/กระสอบ พอตอนนี้ข้าวเหลือ 6,000 บาท ปุ๋ยก็ลงมาเหลือ 600 บาท”
ถึงได้เกิดเป็นข้อสงสัยที่ว่า ถ้าต้นทุนการผลิตสูงจริงเหตุใดจึงปรับลดมาได้โดยง่าย “จะขึ้นจะลง ขึ้นอยู่กับผลผลิตว่าราคาดีไหม เพราะเขารู้ว่าขายราคาเดิม คนไม่มีปัญญาจะซื้อ รัฐบาลไม่เคยรับผิดชอบ แต่เร่งรัดให้ชาวนาผลิตมากๆ เพื่อส่งออก ราคาขายก็ไม่เคยรับผิดชอบ”
“ยกตัวอย่างสมัยนายกฯ ประยุทธ์ 7 ปีแรก ราคาข้าว 6,000 บาทตลอด ในขณะที่ข้อมูลกระทรวงเกษตร จากสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร กรมวิชาการเกษตร ชัดเจนว่า ต้นทุนการทำนา ที่ชาวนาจะได้ข้าว 1 เกวียน หรือ 1 ตัน ต้องใช้ทุน 8,500 บาท แล้วคุณปล่อยให้ราคาข้าว 6,000 บาท เนี่ยนะ”
“ธ.ก.ส. ตั้งมาด้วยเงินทุนประเดิมที่รัฐบาลให้ เพื่อปล่อยกู้จำนวน 30,000 ล้านบาท ทั้งที่เป็นเงินสดละที่รัฐไปค้ำประกันปุ๋ยจากฝรั่งเศสให้ ผ่านมา 56 ปี ไม่เคยได้รับเงินจากรัฐอีกเลย แต่วันนี้ ธ.ก.ส. มีทรัพย์สินรวม 1.2 ล้านล้านบาท มาจากไหน”
เป็นคำถามที่ชรินทร์ชวนคิด และบอกเล่าว่าทั้งหมดมาจากการปล่อยเงินกู้ทั้งทางตรงและทางอ้อม เพื่อหวังจะให้ช่วยเหลือเกษตรกร
“คุณตั้งสถาบันการเงินขึ้นมารองรับนโยบายส่งออก แล้วคุณไม่รับผิดชอบต้นทุน ไม่รับผิดชอบราคา คุณปล่อยไปตามยถากรรมได้ไง”
ทั้งหมดจึงเป็นที่มาที่เกษตรกร จำเป็นต้องเจรจาเพื่อแก้ปัญหาเกษตรกรทั้งระบบ ร่วมกับหน่วยงานของรัฐ และธนาคารของรัฐทั้ง 3 แห่ง เพื่อให้พวกเขายังคงดำเนินชีวิตในฐานะเกษตรกร และรักษาวินัยทางการเงินให้สามารถผ่อนชำระ และหลุดพ้นจากหนี้สินที่รัดตัวนี้เสียที
ชวนฟังเสียงบรรดาเกษตรกร ที่มาปักหลักทวงถามสัญญาจากรัฐ ถึงความยากลำบากที่พวกเขาต้องพบเจอ: https://www.facebook.com/thematterco/videos/502198378640461