เมื่อตายแล้วคุณจะเลือกจัดการร่างของคุณยังไง? นับเป็นบทสนทนาที่่ได้ยินบ่อยขึ้น เพราะการออกแบบความตาย นับเป็นหนึ่งเรื่องที่เราสามารถวางแผนได้ไปแล้ว และยิ่งเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมด้วยแล้วยิ่งน่าสนใจ
อย่างที่รัฐนิวยอร์ก สหรัฐฯ ที่เพิ่งอนุญาตให้นำศพมาเปลี่ยนเป็นปุ๋ยได้ หรือที่รู้จักกันว่า Natural Organic Reduction หรือการลดรูปแบบอินทรีย์ตามธรรมชาติ
โดยในปี 2019 รัฐวอชิงตันเป็นรัฐแรกที่เปิดทางกฎหมายใหม่ฉบับนี้ ก่อนที่รัฐโคโลราโด รัฐโอเรกอน รัฐเวอร์มอนต์ และรัฐแคลิฟอร์เนีย จะมีการบังคับใช้อย่างเป็นทางการตามมา
สำหรับการเปลี่ยนร่างเป็นปุ๋ยหรือดินนั้น เริ่มด้วยการบรรจุร่างลงในกล่อง พร้อมกลบด้วยเศษไม้ชิ้นเล็กๆ พืชอัลฟัลฟา และฟาง โดยจะต้องมีการกลบที่เหมาะสม เพื่อให้ออกซิเจนผ่านได้สะดวก ช่วยให้จุลินทรีย์เติบโตจนย่อยสลายร่างได้อย่างดี ซึ่งทุกขั้นตอนล้วนพิถีพิถัน
อีกทั้งกล่องที่บรรจุร่าง ยังสามารถนำกลับมาใช้ใหม่ได้อีกหลายครั้ง และก่อนที่ญาติจะรับดินดังกล่าวกลับไปปลูกดอกไม้ พืชผัก หรือต้นไม้ได้นั้น ยังต้องผ่านกระบวนการให้ความร้อนเพื่อฆ่าเชื้อโรคอีกด้วย
ด้วยกระบวนการพิถีพิถันเช่นนี้ จึงมีธุรกิจที่เสนอบริการเต็มรูปแบบ ซึ่ง Recompose ก็เป็นหนึ่่งบริษัทในตลาดนี้ โดยระบุว่าพวกเขาสามารถลดปริมาณการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์สู่ชั้นบรรยากาศมากถึง 1 ตัน เมื่อเทียบกับการเผาศพหรือการฝังศพแบบดั้งเดิม คิดค่าธรรมเนียมที่ 7,000 ดอลลาร์ หรือราว 242,340 บาท
ตามข้อมูลของ National Funeral Director Association (NFDA) ระบุว่าการงานที่เลือกวิธีฝังศพในสหรัฐฯ ต้องใช้เงินเฉลี่ยที่ 7,848 ดอลลาร์ (271,698 บาท) และหากเป็นการเผ่าศพ เฉลี่ยอยู่ที่ 6,971 ดอลลาร์ (241,336 บาท)
บรรดาผู้สนับสนุนต่างมองว่า วิธีนี้ไม่เพียงแต่เป็นทางเลือกสำหรับคนรักสิ่งแวดล้อม แต่ยังเป็นวิธีที่ใช้งานได้จริง และช่วยแก้ปัญหาในเมืองที่มีพื้นที่จำกัด อย่างไรก็ดี ผู้คนบางส่วนยังคงมีคำถามเชิงจริยธรรมอยู่ อย่างบาทหลวงคาทอลิกในรัฐนิวยอร์ก ที่ออกมาเห็นแย้งว่า ไม่ควรปฏิบัติต่อร่างกายมนุษย์เหมือน “ขยะในครัวเรือน”
อ้างอิงจาก