จากชื่อ ‘สถานีกลางบางซื่อ’ ที่เรียกกันจนเริ่มคุ้นชิน อยู่ดีๆ สถานียักษ์ใหญ่ก็เปลี่ยนไปใช้ชื่อพระราชทาน ‘สถานีกลางกรุงเทพอภิวัฒน์’ ซะงั้น แถมยังทุ่มเงินงบประมาณจากภาษีของประชาชนกว่า 33 ล้านบาทให้กับโครงการจัดเปลี่ยนป้ายชื่อสถานีอีกด้วย …แน่ละว่าตามมาด้วยเสียงวิพากษ์วิจารณ์มากมาย
กรณีข้างต้นจึงกลายเป็นประเด็นร้อนรับปีใหม่ ที่ใครๆ ต่างก็ตั้งคำถามและวิพากษ์วิจารณ์ว่า งบประมาณกว่า 33 ล้านบาทนั้นแพงเกินไปหรือไม่ ทำไมต้องใช้งบประมาณมากมายขนาดนี้ ทำไมต้องเปลี่ยนป้ายชื่อภายหลังจากสร้างเสร็จไปแล้ว ไปจนถึงกระบวนการจัดซื้อจัดจ้างแบบเฉพาะที่ไม่น่าไว้ใจ เกิดอะไรขึ้นกับกรณีนี้บ้าง The MATTER ขอสรุปเหตุการณ์ทั้งหมดที่เกิดขึ้นไว้ให้ ดังนี้
1. เกริ่นก่อนว่า สถานีกลางบางซื่อ คือสถานีรถไฟหลักแห่งใหม่ของไทย เป็นศูนย์รวมของเส้นทางรถไฟทางไกลทุกสาย รถไฟฟ้าสายสีแดงเข้ม–แดงอ่อน และ MRT สายสีน้ำเงิน เชื่อมต่อกับระบบขนส่งหลายแห่ง และถือเป็นสถานีที่ใหญ่ที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เปิดใช้งานเต็มรูปแบบตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน ปี 2564
2. สถานีนี้ติดตั้งป้ายชื่อ ‘สถานีกลางบางซื่อ’ ตั้งแต่ต้นปี 2563 ต่อมาในเดือนกันยายน ปี 2565 ในหลวงรัชกาลที่ 10 พระราชทานชื่อสถานีใหม่ว่า ‘สถานีกลางกรุงเทพอภิวัฒน์’ ทำให้สถานีกลางบางซื่อมีนามมงคลใหม่เป็นของตัวเองตั้งแต่นั้นมา
3. เมื่อเปลี่ยนชื่อใหม่ การรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) จึงเห็นว่า ป้ายชื่อสถานีต้องเปลี่ยนตามด้วย เป็นที่มาของการใช้งบประมาณสูงถึง 33,169,726.39 บาท ไปกับโครงการปรับปรุงป้ายชื่อ ‘สถานีกลางบางซื่อ’ เป็น ‘สถานีกลางกรุงเทพอภิวัฒน์’ และตราสัญลักษณ์ของการรถไฟแห่งประเทศไทย ที่ว่าจ้าง บริษัท ยูนิค เอ็นจิเนียริ่ง แอนด์ คอนสตรัคชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ UNIQ โดยวิธีเฉพาะเจาะจง (ว่าง่ายๆ ก็คือ ไม่มีการประกวดราคา)
กรณีนี้กลายเป็นประเด็นเพราะว่า บริษัทยูนิคฯ ทำหนังสือแจ้งข่าวการลงนามสัญญาจ้างก่อสร้างโครงการนี้ด้วยมูลค่า 33.16 ล้านบาท ลงวันที่ 29 ธันวาคม 2565 ซึ่งเอกสารนี้ถูกเผยแพร่บนโลกออนไลน์ พร้อมๆ กับเอกสารที่ระบุว่า เป็นโครงการที่ใช้วิธีการจัดจ้างแบบเฉพาะเจาะจง
4. ก็เลยตามมาด้วยเสียงวิพากษ์วิจารณ์มากมาย บางส่วนตั้งคำถามว่าทำไมใช้งบประมาณเยอะขนาดนี้ จำเป็นต้องเปลี่ยนหรือไม่ ทำไมไม่ไฟนอลชื่อก่อนแล้วค่อยติดป้าย และทำไมจัดซื้อจัดจ้างแบบเฉพาะเจาะจง ขณะที่บางส่วนตั้งข้อสังเกตว่า การเปลี่ยนชื่อสถานีจะนำมาสู่การเปลี่ยนป้ายอื่นๆ รอบเมืองด้วย ที่ก็หนีไม่พ้นการใช้งบประมาณอีก
นอกจากนี้ ชาวเน็ตกลุ่มหนึ่งยังตัดต่อภาพสถานีกลางบางซื่อเพื่อเสียดสีโครงการเปลี่ยนป้ายนี้ (เช่น ตัดต่อคำว่า “ค่าป้ายโคตรแพง ค่าแรงสามร้อย” ทับไปบริเวณตำแหน่งป้ายสถานี) จนกลายเป็นมีมที่มีคนแชร์เป็นจำนวนมาก
5. เอกสารราคากลางของโครงการนี้ระบุว่า จะมีการปรับปรุงป้ายชื่อสถานีและตราสัญลักษณ์การรถไฟแห่งประเทศไทย ณ บริเวณโดมด้านหน้าของสถานีกลางบางซื่อ ทั้งในฝั่งตะวันออกและฝั่งตะวันตก พร้อมมีรายละเอียดด้วยว่า การปรับปรุงประกอบไปด้วยงานอะไรบ้าง เช่น งานโครงสร้างวิศวกรรม งานสถาปัตยกรรม งานออกแบบ และงานติดตั้งรื้อถอนวัสดุ เป็นต้น
ทั้งนี้ทั้งนั้น รฟท. รายงานว่า การเปลี่ยนชื่อสถานีใหม่จะใช้ตัวอักษรทั้งหมด 112 ตัว (110 ตัวอักษรไทย–อังกฤษ 2 ตราสัญลักษณ์) ซึ่งสำนักข่าว BBC ไทย ลองคำนวณไว้ว่า หากเฉลี่ยจากงบ 33 ล้านบาทแล้ว แต่ละตัวอักษรจะมีราคาประมาณ 296,158 บาทเลยทีเดียว
6. เมื่อกลายเป็นประเด็นร้อน รฟท. ในฐานะคู่สัญญาจึงรีบออกโรงชี้แจงทันที โดยเมื่อวันที่ 3 มกราคมที่ผ่านมา รฟท. เผยแพร่คำชี้แจงถึงโครงการดังกล่าวผ่านเฟซบุ๊ก ยืนยันว่าการจัดซื้อจัดจ้างเป็นไปตามระเบียบขั้นตอน และเป็นโครงการที่คุ้มค่างบประมาณของประชาชน
คำชี้แจงของ รฟท. มีรายละเอียดโดยย่อ ดังนี้
– มีการตั้งคณะกรรมการเพื่อจัดทำขอบเขตงานและราคากลางแล้ว จนพิจารณาได้จำนวนเงินกว่า 33.16 ล้านบาท ซึ่งรวมยอดเงินเพื่อจ่าย (provisional sum) กว่า 1.63 ล้านบาทไปด้วย
– เหตุที่ต้องจัดซื้อจัดจ้างแบบ ‘เฉพาะเจาะจง’ เพราะการเปลี่ยนป้ายชื่อสถานีมีความเร่งด่วน จึงต้องรีบดำเนินการให้เร็วที่สุด
– โครงการนี้ไม่ได้แค่เปลี่ยนป้ายชื่อ แต่รวมถึงงานโครงสร้างด้านวิศวกรรม งานผลิตป้ายใหม่ และงานรับประกันความชำรุดบกพร่อง เช่น รื้อผนังกระจกและโครงกระจกอลูมิเนียมเดิม จัดทำระบบไฟของป้ายใหม่ ติดตั้งโครงเหล็กยึดตัวอักษรใหม่ เป็นต้น
7. ส่วน ศักดิ์สยาม ชิดชอบ รมว.คมนาคม เองก็ไม่อยู่เฉยเช่นกัน เพราะในวันเดียวกันนั้น เขาออกคำสั่งมอบหมายให้ผู้เกี่ยวข้องตรวจสอบว่า โครงการนี้ดำเนินการถูกต้องตามระเบียบหรือไม่ แต่ศักดิ์สยามระบุด้วยว่า ต้องดูราคากับปริมาณงานว่าเป็นอย่างไร เพราะเป็นป้ายที่สั่งทำพิเศษ ตัวหนังสือใหญ่ และมีป้ายหลายรายการ
8. ศักดิ์สยาม ในฐานะ รมว.คมนาคมคงไม่อาจพ้นจากความรับผิดชอบได้ ทำให้ระหว่างการประชุมสภาผู้แทนราษฎรเมื่อวานนี้ (5 มกราคม) เขาถูกตั้งกระทู้ถามสดถึงกรณีงบประมาณกับการปรับปรุงป้ายสถานี ว่าราคาแพงเกินไปหรือไม่ และเพราะอะไรจึงเปลี่ยนชื่อ
รมว.คมนาคม ไม่ได้เอ่ยปากตอบว่าแพงหรือไม่ แต่อธิบายว่า ค่าใช้จ่าย 33 ล้านบาท ‘ไม่ใช่แค่ราคาป้าย‘ ส่วนที่เปลี่ยนชื่อ เพราะที่ผ่านมาขนส่งสาธารณะไทยล้วนได้ชื่อพระราชทานที่เป็นมงคลนาม กระทรวงคมนาคมจึงขอพระราชทานชื่อสถานีกลางบางซื่อใหม่ จนได้รับพระราชทานชื่อเมื่อเดือนกันยายนปีที่แล้ว และเพื่อเป็นการเฉลิมพระเกียรติ จึงรีบสั่งการให้ รฟท. ติดตั้งป้ายชื่อพระราชทานให้แล้วเสร็จโดยเร็ว
ส่วนเหตุที่ต้องจัดซื้อจัดจ้างแบบเฉพาะเจาะจงแก่บริษัทยูนิคฯ ศักดิ์สยามอธิบายว่า เพราะเป็นการก่อสร้างที่กระทบกับโครงการเดิมที่ดำเนินการอยู่ จึงต้องให้บริษัทที่เป็นผู้ก่อสร้างเดิมในโครงการเป็นผู้รับผิดชอบ
ศักดิ์สยามย้ำกลางรัฐสภา ว่า “การเปลี่ยนชื่อ [สถานี] เป็นเรื่องประเพณีปฏิบัติ ไม่ใช่ความต้องการของผม ในอดีตหรือปัจจุบันก็มีการดำเนินโครงการอย่างนี้ เช่น สนามบินหนองงูเห่า เปลี่ยนเป็นสนามบินสุวรรณภูมิ สถานที่สำคัญของทางราชการหลายแห่งก็ดำเนินการอย่างนี้ ถ้าเห็นว่าเป็นการดำเนินการที่เหมาะสม และต้องการสิ่งที่เป็นมหามงคล”
9. แม้จะเทียบกับกรณีสุวรรณภูมิ แต่ ธงทอง จันทรางศุ ผู้เชี่ยวชาญด้านประวัติศาสตร์ เพิ่งออกมาเผยว่า ชื่อ ‘ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ’ ได้รับพระราชทานตั้งแต่ก่อนสนามบินเปิดใช้งานถึง 6 ปี ซึ่งเขาเองไม่คุ้นเลยว่า มีป้ายชื่อท่าอากาศยานหนองงูเห่าติดตั้งมาก่อน ชวนให้สังคมฉงนอีกว่า การเปรียบเทียบของศักดิ์สยามนั้นเหมาะสมหรือไม่
10. และล่าสุด รฟท. เพิ่งออกแถลงการณ์ชี้แจงเพิ่มเติมใหม่ในวันนี้ (6 มีนาคม) ผ่านเฟซบุ๊ก โดยชี้แจงละเอียดยิบถึงการปรับปรุงป้ายชื่อว่าใช้กี่ตัวอักษร ปรับปรุงฝั่งไหนบาง และเน้นย้ำว่า วงเงิน 33 ล้านไม่ได้มีแค่ค่าใช้จ่ายปรับปรุงป้ายช่ือตัวอักษรอย่างเดียวเท่านั้น
“การรถไฟฯ จึงขอเน้นย้ำข้อเท็จจริงเพื่อให้ความมั่นใจอีกครั้งว่า โครงการปรับปรุงป้ายชื่อสถานีกลางกรุงเทพอภิวัฒน์และตราสัญลักษณ์ของการรถไฟแห่งประเทศไทยในครั้งนี้ ได้ดำเนินการด้วยความโปร่งใส คุ้มค่า เป็นประโยชน์ต่อรัฐและประชาชน อีกทั้งยังถูกต้องตามระเบียบขั้นตอนการจัดซื้อจัดจ้างของภาครัฐทุกประการ พร้อมกับคำนึงถึงความสวยงาม ความปลอดภัย สอดคล้องกับการยกระดับ สถานีกลางกรุงเทพอภิวัฒน์ ให้เป็นศูนย์กลางระบบรางที่ดีที่สุดในประเทศ และภูมิภาคต่อไป” รฟท. ระบุทิ้งท้าย
เชื่อว่าคำชี้แจงจากทั้ง รมว.คมนาคม และ รฟท. ยังทำให้ประชาชนผู้เป็นเจ้าของเงินภาษีกังขาถึงราคากว่า 33 ล้านบาทที่ต้องจ่าย กรณีนี้จึงยังเป็นที่น่าจับตาต่อไปว่า หลังตรวจสอบแล้วจะเป็นเช่นไร จะมีการเปลี่ยนแปลงหรือรับผิดชอบอะไรจากนี้หรือไม่
อ้างอิงจาก
https://thematter.co/brief/193705/193705
https://thematter.co/brief/193713/193713
https://thematter.co/brief/193807/193807
https://motapplication.mot.go.th/mot/20-news-web/NewsDetail.html?ROW_ID=314600&ROW_ID_NEWS_M_GROUP=3
https://www.bbc.com/thai/articles/cd15k98pj0vo
https://www.prachachat.net/finance/news-1163112
https://www.bangkokbiznews.com/business/economic/1046054
https://www.pptvhd36.com/news/%E0%B8%AA%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B8%84%E0%B8%A1/187814
https://prachatai.com/journal/2023/01/102156
https://www.khaosod.co.th/special-stories/news_7446069