วิธีมีชื่อในงานวิจัยสำหรับนักวิชาการไทยบางคน อาจไม่ใช่การลงแรงกับการศึกษาค้นคว้าในประเด็นที่สนใจ แต่เป็นการเข้าเว็บไซต์ จิ้มกดซื้อ และจ่ายเงิน ง่ายราวกับซื้อของออนไลน์
กรณีนักวิชาการซื้องานวิจัยเพื่อใส่ชื่อตัวเอง กลายเป็นประเด็นร้อนทันที หลังนักวิชาการรายหนึ่งแฉผ่านเฟซบุ๊กว่า มีนักวิจัยตีพิมพ์งานวิจัยกว่า 40 ฉบับในปีเดียว ที่เฉลี่ยแล้ว 9 วันออก 1 เปเปอร์! ทำเอานักวิชาการหลายคนร่วมแฉวงการ ‘ช็อปปิ้งงานวิจัย’ ในหมู่นักวิชาการไทย
โดย อนันต์ จงแก้ววัฒนา นักวิชาการจากสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ให้ข้อมูลว่า ในโลกงานวิจัย มีการ ‘ช็อปปิ้งงานวิจัย’ ที่ตัวเองไม่ได้ทำอยู่ เช่น ไปอ่านงานที่คิดว่าอยากมีชื่อ แล้วใช้เงินซื้อตำแหน่งของการเป็น ‘ผู้แต่ง’ ในงานวิจัย จึงเป็นเหตุที่ในบางงานวิจัยจะมีผู้แต่งจากหลากสถาบัน หลายประเทศ แบบที่พวกเขาไม่เคยรู้จักกันเลย
“ชื่อแรกก็จะแพงหน่อย ชื่อกลางๆ ก็จะถูกหน่อย เมื่อได้จำนวนผู้แต่งครบแล้ว งานวิจัยผีๆ นี้ก็ส่งไปตีพิมพ์โดยคนที่จ่ายเงินเป็นผู้แต่งก็จะไปสามารถ claim ผลงานทางวิชาการ หรือ ไปใช้ขอทุนจากหน่วยงานต่างๆเพื่อถอนทุนคืนได้” อนันต์ ระบุ
แถมวิธีซื้องานวิจัยก็ช่างง่ายดาย แต่ละชิ้นจะมีข้อมูลเบื้องต้นของงานวิจัย ลำดับที่ว่างของการเป็นเจ้าของงานวิจัย ถ้าลำดับไหนว่าง ก็กดจิ้มซื้อได้เลย
ทำไมต้องซื้องานวิจัย? มีหลากหลายเหตุผล ในเชิงปัจเจก คนซื้อก็จะเอางานมาประดับโปรไฟล์ให้สวยหรูหลอกตัวเองได้ ใช้ขอตำแหน่งทางวิชาการได้ ใช้เพื่อให้รอดจากการประเมินผล ใช้ไปขอทุนจากหน่วยงานต่างๆ ได้ เพื่อถอนทุนและหากำไรจากค่าซื้อชื่อที่จ่ายไป
ซึ่ง วีรชัย พุทธวงศ์ เลขาธิการศูนย์ประสานงานบุคลากรในสถาบันอุดมศึกษาของรัฐ ให้ข้อมูลว่า งานวิจัยเหล่านี้มีคนทำจริงๆ ผ่านกระบวนการตรวจทานผลงานโดยผู้เชี่ยวชาญแล้ว (peer review) และเปิดให้จ่ายเงินซื้อสถานะ ‘ผู้ร่วมวิจัย’ ก่อนจะตีพิมพ์ จำนวนไม่น้อยมักเป็นงานที่ปรากฎในวารสาร–ฐานข้อมูลระดับโลก
“สมมติ จ่ายเงินไป 35,000 บาท พอจ่ายเสร็จปุ๊ป เรื่องนี้ก็จะถูกตีพิมพ์จริงๆ ลงใน database เลย จากนั้นบุคคลที่จ้างก็เอางานที่ตีพิมพ์จริงๆ มาตั้งเบิกกับมหาวิทยาลัย เพราะมหาวิทยาลัยจะมีรางวัลให้ ใครก็ตามที่สร้างชื่อเสียง เอางานวิจัยไปตีพิมพ์ใน database สูงๆ ก็จะได้เงินรางวัล” วีรชัย กล่าว
วีรชัยอธิบายต่อว่า “เงินรางวัลไม่ได้มาจากมหาวิทยาลัยอย่างเดียว แต่ได้จากภาควิชาด้วย เช่น ภาควิชาให้ 20,000 บาท คณะให้อีก 40,000 บาท มหาวิทยาลัยให้อีก 120,000 บาท ทั้งๆ ที่ลงทุน [จ่ายเงินเอาตำแหน่งผู้ร่วมวิจัย] ไป 30,000 ก็ได้กำไรมา 90,000 ได้ผลงานด้วย ได้โปรไฟล์ด้วย” ซึ่งก็ชวนตั้งคำถามว่า หรือนี่คือวิธีหากินของอาจารย์มหาวิทยาลัยบางคน
แค่ปัญหาเชิงปัจเจกเท่านั้นหรือ? คำตอบจากเลขาธิการและนักวิชาการหลายคนเห็นตรงกันว่าไม่ใช่แค่นั้น วีรชัยอธิบายว่า มหาวิทยาลัยเองก็ได้ประโยชน์ทางอ้อมจากกรณีนี้เช่นกัน โดยเฉพาะในประเด็น ranking หรืออันดับของมหาวิทยาลัย เพราะเมื่อนักวิชาการในสังกัดได้ตีพิมพ์ในเปเปอร์ดีๆ ก็จะมีผลกับโปรไฟล์ของมหาวิทยาลัย และสัมพันธ์กับการจัดลำดับ งบประมาณแผ่นดินจากรัฐบาล และชื่อเสียงในท้ายที่สุด
นอกจากนี้ มหาวิทยาลัยยังมีระบบที่กดดันให้อาจารย์ต้องฝ่าฟันเพื่อการตีพิมพ์งานวิจัยด้วย เช่น ตำแหน่งรองศาสตราจารย์ต้องตีพิมพ์ปีละ 2 เรื่อง เป็นต้น ซึ่งเป็นนโยบายที่บีบให้อาจารย์และนักวิชาการต้องทำงานวิจัย จนบางคนเลือกใช้ทางลัดผ่านการซื้องานวิจัย เพื่อหาทางรอดไม่ให้โดนไล่ออก
สัมพันธ์กับที่ เจษฎา เด่นดวงบริพันธ์ และ ปิ่นแก้ว เหลืองอร่ามศรี อาจารย์และนักวิชาการชื่อดัง ตั้งคำถามผ่านเฟซบุ๊กว่า สาเหตุส่วนหนึ่งมาจากการที่สถาบันการศึกษาบ้า ranking นับจำนวนผลงานที่ตีพิมพ์แข่งกันหรือไม่ จนเกิดแรงกดดันให้คณาจารย์ทำเช่นนี้
อ้างอิงจาก
https://www.facebook.com/phutdhawong/videos/1216722952385771/