ถึงแม้สภาจะล่ม (อีกแล้ว) แต่หนึ่งในวาระการประชุมสภาที่สำคัญมากในสัปดาห์นี้คือ การพิจารณาร่าง พ.ร.บ.การศึกษาแห่งชาติ ฉบับใหม่ ซึ่งถ้าผ่านจะส่งผลกับนักเรียนและครูทั่วประเทศอย่างใหญ่หลวง
ข้อความบางตอนในร่างนี้เขียนไว้ว่า จุดประสงค์ของการจัดการศึกษาคือเพื่อให้ผู้เรียนเป็นคนดี มีวินัย ภูมิใจในชาติ มีความเชี่ยวชาญตามความถนัด อย่างไรก็ตาม ไม่ใช่ทุกฝ่ายที่เห็นด้วยกับจุดประสงค์ดังกล่าว และมีการวิจารณ์ว่ามันทั้งล้าหลัง ชาตินิยม อีกทั้งยังไม่สามารถนำมาบังคับปฏิบัติได้จริง
The MATTER ขอชวนส่อง 4 ปัญหาจากร่าง พ.ร.บ. ฉบับนี้
1.ประเด็นแรก ในมาตรา 6 มีข้อความบางตอนที่ระบุถึงวัตถุประสงค์ในเรื่องการจัดการศึกษาไว้ว่า ต้องทำให้ผู้เรียนเป็นคนดี มีคุณธรรม ภูมิใจ และตระหนักในความสำคัญของชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ และการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัติรย์ทรงเป็นประมุข รวมถึงต้องมีสำนึกต่อสังคมและประเทศชาติ
สุรวาท ทองบุ ส.ส. พรรคก้าวไกล แสดงความเห็นไว้ว่า ร่าง พ.ร.บ.การศึกษาฯ ฉบับนี้ วนเวียนอยู่แต่เรื่องความดี ความรักชาติ แต่กลับเมินเฉยที่จะทำให้สถานศึกษาเป็นที่ที่มีเสรีภาพ ปลอดภัยในการแสดงความเห็น รวมถึงยังไม่มีการพูดถึงเรื่องของสิทธิมนุษยชนและประชาธิปไตยเอาไว้เลย
ทางด้าน ธัญวัจน์ กมลวงศ์วัฒน์ ส.ส. พรรคกล้าวไกล ได้เสนอว่าควรเพิ่มเรื่องความมั่นคงของมนุษย์เอาไว้ในกฎหมาย เพราะที่ผ่านมาการศึกษาไทยทำให้เรื่อง สิทธิ หน้าที่ ความรับผิดชอบบิดเบี้ยวสับสนไปหมด ยกตัวอย่างเรื่องการแต่งกายของผู้หญิงที่การศึกษาไทยนำแนวคิดชาตินิยมใส่ลงไป และเรียกการแต่งกายของผู้หญิงบางประเภทว่าการแต่งกายของผู้หญิงที่ดี
2. ประเด็นที่สองคือ มาตรา 8 ที่ระบุถึงการพัฒนาของเด็กที่ต้องเป็นไปตามช่วงวัย โดยแบ่งเป็นทั้งหมด 7 ช่วงวัย
ครูจุ๊ย–กุลธิดา รุ่งเรืองเกียรติ กรรมการบริหารของคณะก้าวหน้ากล่าวว่า มาตรานี้เป็นรายละเอียดที่ไม่สามารถปฏิบัติได้จริง เพราะมีความเป็นนามธรรมสูงมาก และหากจะต้องปฏิบัติก็จะนำมาซึ่งปัญหาอีกเป็นจำนวนมาก โดยเฉพาะในเรื่องการแบ่งเด็กออกเป็น 7 ช่วงวัย
“เราจะจับเด็กใส่กล่อง บอกเขาว่าจะต้องมีคุณสมบัติอะไรบ้างตามช่วงอายุ ซึ่งผิดจากหลักการที่ผู้คนนั้นมีพัฒนาการไม่เหมือนกัน ช้าเร็วไม่เท่ากัน ไม่สามารถการันตีได้ 100% ว่า มนุษย์จะมีพัฒนาการที่เหมือนกันราวกับเป็นสินค้าในโรงงานที่ถูกผลิตออกมาจากสายพาน” กุลธิดาทิ้งท้าย “เราไม่สามารถใช้ช่วงอายุมากำหนดคุณสมบัติของเด็กๆ ได้”
3. ประเด็นที่สาม ที่มาของสมาชิกของของคณะกรรมการนโยบายการศึกแห่งชาติ ซึ่งส่วนใหญ่ระบุให้เป็นข้าราชการ และไม่มีการกำหนดให้มีตัวแทนจากนักเรียน ครู หรือผู้ปกครอง
ในประเด็นนี้ วิโรจน์ ลักขณาอดิศร ประธานคณะทำงานยุทธศาสตร์กรุงเทพมหานครพรรคก้าวไกล ได้แสดงความเห็นเกี่ยวกับมาตราดังกล่าวไว้ในเพจเฟซบุ๊กว่า “‘คณะกรรมการนโยบายการศึกษาแห่งชาติ’ มาจากข้าราชการเป็นหลัก ไม่มีตัวแทนจากนักเรียน ครู หรือผู้ปกครองที่มีส่วนสำคัญในระบบการศึกษาเข้ามามีส่วนร่วมเลย อีกทั้งมติของคณะกรรมการนโยบายการศึกษา ยังมีผลผูกพันส่วนราชการอีกด้วย”
“นั่นหมายว่าต่อให้มติของคณะกรรมการชุดนี้ จะโง่เขลาเข้ารกเข้าพงแค่ไหน จะอย่างไรก็ต้องทำตาม ถ้าไม่ทำตามก็อาจมีโทษตามกฎหมาย” วิโรจน์ระบุ
4. ประเด็นสุดท้ายคือ มาตรา 80 ได้กำหนดไว้ว่าในการทำแผนการศึกษาแห่งชาติ ต้องสอดคล้องและไม่ขัดกับยุทธศาสตร์แห่งชาติ และแผนการปฏิรูปประเทศ
ประเด็นนี้ วิโรจน์มองว่าผิดตั้งแต่ติดกระดุมเม็ดแรก เพราะในความเห็นเขายุทธศาสตร์ชาติ 20 ปีและแผนการปฏิรูปประเทศไม่สอดรับกับยุคสมัย และไม่ต่างจากการกักขังประเทศไว้ในอดีต
“ทุกคนต่างรู้ดีว่า ยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี และแผนการปฏิรูปประเทศ เป็นตัวถ่วงความเจริญของประเทศ เป็นแค่แผนล้าสมัยของกลุ่มศักดินาที่ไม่เข้าใจ และหวาดกลัวต่ออนาคต พยายามจะวางกรอบขังประเทศให้อยู่กับอดีต และความเหลื่อมล้ำที่ตนเองได้เปรียบ แต่ พ.ร.บ.การศึกษาแห่งชาติ ฉบับนี้ ในมาตรา 80 กลับผูกตัวเองไว้กับยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี และแผนการปฏิรูปประเทศ อย่างแนบแน่น” วิโรจน์กล่าวถึงมาตราดังกล่าว
สุดท้ายนี้ ถึงแม้ว่าสภาจะล่ม แต่ The MATTER ก็ยังอยากให้ทุกคนสนใจการแก้ไขพ.ร.บ.นี้ต่อไปว่าจะผ่านหรือไม่ผ่านสภา เพราะกฎหมายเหล่านี้ จะถูกบังคับใช้กับเหล่าอนาคตของชาติต่อไป
อ่านเรื่อง พ.ร.บ.การศึกษาแห่งชาติ ใน The MATTER เพิ่มเติมได้ที่: https://thematter.co/quick-bite/new-national-education-act/145896
อ้างอิง:
https://www.facebook.com/photo/?fbid=663345128915378&set=a.424755009441059
https://www.youtube.com/watch?v=X6Owy1evX3A
https://twitter.com/MFPThailand/status/1612739399493750787?s=20&t=8IUMIT_uz-wQcNQ-wPSutQ