เมื่อ ตะวัน—ทานตะวัน ตัวตุลานนท์ และ แบม—อรวรรณ ภู่พงษ์ สองนักกิจกรรมอิสระ ที่ประกาศอดอาหารและน้ำตั้งแต่วันที่ 18 มกราคมที่ผ่านมา เพื่อเรียกร้องสิทธิการประกันตัวของผู้ต้องขังการเมืองทุกคน ถูกส่งตัวไปรักษาที่โรงพยาบาลธรรมศาสตร์เฉลิมพระเกียรติ โดยความยินยอมของกรมราชทัณฑ์ คำถามทางจริยธรรมก็เกิดขึ้นตามมา
แพทย์บังคับให้อาหารได้ไหม? ช่วยชีวิตได้ไหม? แค่ไหนถึงเรียกว่าเคารพสิทธิผู้อดอาหาร? แพทย์ทำอะไรได้บ้าง?
เรื่องนี้เคยเป็นประเด็นถกเถียงกันมานานในระดับนานาชาติ องค์กรอย่าง แพทยสมาคมโลก (World Medical Association หรือ WMA) เคยออกคู่มือสำหรับแพทย์ที่เกี่ยวข้องกับการรักษาผู้อดอาหารประท้วง 2 ฉบับ คือ คำประกาศโตเกียว (Declaration of Tokyo) ที่ออกเมื่อปี 1975 และแก้ไขล่าสุดปี 2016 และ คำประกาศมอลตา (Declaration of Malta) ที่ออกเมื่อปี 1991 และแก้ไขล่าสุดปี 2017
แต่ในขณะที่ ‘คำประกาศโตเกียว’ จะเกี่ยวข้องกับกรณีของการทรมานนักโทษมากกว่า ‘คำประกาศมอลตา’ ก็เกี่ยวข้องกับการรักษาผู้อดอาหารประท้วงโดยตรง โดยเน้นย้ำถึงประเด็นการเคารพเจตจำนงของผู้อดอาหาร และสนับสนุนแนวทางการรักษาแบบเน้นการสื่อสารกับผู้อดอาหารอย่างเห็นได้ชัด
วาระนี้ The MATTER ชวนดูเนื้อหาและแนวทางหรือ ‘ไกด์ไลน์’ สำหรับแพทย์ที่เกี่ยวข้องกับการรักษาผู้อดอาหารประท้วง ตามที่ปรากฏในเอกสารคำประกาศมอลตาฉบับนี้
คำประกาศมอลตา (Declaration of Malta)
“การอดอาหารเกิดขึ้นในบริบทที่หลากหลาย แต่มันมักจะนำมาสู่ปัญหาในการตัดสินใจที่มีความยากลำบากในทางจริยธรรม ในบริบทของการคุมขัง (ในเรือนจำ คุก หรือศูนย์กักกันผู้อพยพ) การอดอาหารมักจะเป็นรูปแบบของการประท้วงของผู้คนที่ไม่มีหนทางอื่นที่จะทำให้ข้อเรียกร้องของพวกเขาเป็นที่รับรู้” นี่คือประโยคอารัมภบทในคำประกาศมอลตา
“การอดอาหารเป็นระยะเวลายาวนาน นำมาสู่ความเสี่ยงต่อการเสียชีวิต หรือทำให้เกิดผลเสียอย่างถาวรให้กับผู้อดอาหารประท้วง และอาจทำให้เกิดภาวะที่หลักการของแพทย์บางประการต้องขัดแย้งกันได้ ผู้อดอาหารประท้วงแทบทั้งหมดไม่อยากเสียชีวิต แต่บางคนก็พร้อมจะสละชีวิตเพื่อให้บรรลุเป้าหมายของพวกเขาได้”
ด้วยเหตุนี้ แพทยสมาคมโลก จึงได้กำหนดหลักการสำหรับแพทย์ไว้จำนวนหนึ่ง ได้แก่ (1) หน้าที่ที่ต้องปฏิบัติอย่างมีจริยธรรม (2) เคารพในการตัดสินใจของผู้ป่วย (3) ทำตามหลักการสร้างประโยชน์สูงสุด และอันตรายน้อยที่สุด (4) ให้ความสำคัญกับผู้ป่วย เหนือนายจ้าง ซึ่งหมายถึง กรมราชทัณฑ์ เป็นต้น (5) เป็นอิสระ ไม่ให้มีการแทรกแซงทางการแพทย์ (6) เก็บการรักษาเป็นความลับ และ (7) สร้างความไว้เนื้อเชื่อใจ
หลักการเหล่านี้ ได้ถูกแปลมาเป็นแนวทางหรือ ‘ไกด์ไลน์’ สำหรับแพทย์ ซึ่งเราขอสรุปรวมยอดเป็นกลุ่มก้อน ดังนี้
แนวทางต่อการอดอาหารประท้วงของแพทยสมาคมโลก (WMA)
- การบังคับให้อาหาร (forced feeding) ผิดจริยธรรมทุกกรณี เรื่องนี้ถือเป็นประเด็นหลักในคำประกาศมอลตา ซึ่งระบุว่า การบังคับให้อาหารในทางตรงกันข้ามกับเจตจำนง ซึ่งแม้จะเป็นไปเพื่อประโยชน์สูงสุด แต่ก็ต้องตามมาด้วยการใช้กำลังหรือขู่บังคับ ซึ่งถือว่าเป็นการปฏิบัติที่ ‘ลดทอนความเป็นมนุษย์’
- การให้อาหารทางสายยาง (artificial feeding) ทำได้ถ้าผู้อดอาหารยินยอม การให้อาหารทางสายยางอาจเป็นที่ยอมรับได้ทางจริยธรรม ถ้าผู้อดอาหารยินยอมในขณะที่มีสติสัปปชัญญะ ถ้าไม่มีสติสัปปชัญญะ ก็อาจทำได้ในกรณีที่ไม่มีการแสดงเจตจำนงปฏิเสธไว้ล่วงหน้า
- แพทย์ต้องระลึกว่า การปฏิเสธอาหารหรือการรักษา คือ เจตจำนงโดยสมัครใจของผู้อดอาหาร ผู้อดอาหารต้องได้รับการปกป้องจากการบีบบังคับ และแพทย์เองต้องไม่ส่งต่อแรงกดดันจากคนภายนอกไปยังผู้อดอาหาร ในกรณีที่ผู้อดอาหารไม่มีสติสัปปชัญญะแล้ว แพทย์ต้องเคารพเจตจำนงที่แสดงไว้ล่วงหน้า แต่แพทย์ก็สามารถไม่เคารพเจตจำนงในกรณีที่พิเศษได้ นั่นคือ ถ้าการแสดงเจตจำนงนั้น ถูกทำขึ้นภายใต้สถานการณ์ไม่ปกติ เช่น ภายใต้การกดดัน
- ถ้าแพทย์ยอมรับการปฏิเสธการรักษาของเจ้าตัวไม่ได้ ด้วยเหตุผลทางมโนธรรม ต้องส่งต่อให้แพทย์คนอื่นที่จะยอมทำตามการปฏิเสธไม่รับการรักษาของผู้อดอาหาร
- ก่อนอดอาหาร แพทย์ต้องประเมินสุขภาพจิต ต้องทราบประวัติทางการแพทย์ และต้องตรวจร่างกายของผู้อดอาหาร ก่อนอดอาหาร ผู้อดอาหารต้องมีสุขภาพจิตที่สมบูรณ์ แพทย์ต้องทราบประวัติเพื่อเตือนถึงผลกระทบทางสุขภาพที่อาจเกิดขึ้นต่อไป ต้องให้คำแนะนำเพื่อลดความเสี่ยงให้ได้มากที่สุด และต้องตรวจร่างกาย ยิ่งถ้าผู้อดอาหารยินยอม ก็ควรมีการตรวจร่างกายให้เป็นประจำ
- การสื่อสารต่อเนื่องกับผู้อดอาหารมีความสำคัญยิ่ง แต่ถ้าสื่อสารไม่ได้แล้ว ต้องเลือกทางที่ เป็น ‘ผลประโยชน์สูงสุด’ ของผู้อดอาหาร แพทย์กับผู้อดอาหารต้องมีการสื่อสารกันอย่างต่อเนื่องทุกวัน เพื่อถามย้ำว่าต้องการอดอาหารประท้วงต่อไปไหม และถามให้แน่ใจว่าต้องการยุติเมื่อไหร่ในกรณีที่สื่อสารไม่ได้แล้ว การสื่อสารควรมีการบันทึกอย่างเหมาะสม และควรเคารพความเป็นส่วนตัวด้วยการเก็บเป็นความลับ
อ้างอิงจาก