ภาพครูกล้อนผมเด็กนักเรียนกลับมาเป็นที่พูดถึงอีกครั้ง หลังเมื่อวานนี้ (7 กุมภาพันธ์) เพจนักเรียนเลว โพสต์รูปภาพครูคนหนึ่งที่กำลังกล้อนผมนักเรียนชายกว่า 100 คน จนเกิดคำถามถึงการยกเลิกระเบียบทรงผมของ ศธ. ที่ผ่านมาว่า มันนำไปสู่การคุ้มครองสิทธิในเนื้อตัวร่างกายของนักเรียนจริงหรือไม่
The MATTER จึงขอมาสรุปประเด็นข่าวนี้ว่าเรื่องราวเป็นมาอย่างไร และทำไมเหตุการณ์การกล้อนผมเด็กถึงกลับมา (อีกแล้ว)
- เมื่อวานนี้ (7 กุมภาพันธ์) เพจนักเรียนเลวออกมาโพสต์ ภาพครูกล้อนผมเด็กนักเรียน พร้อมระบุข้อความว่า “ครูโรงเรียนแห่งหนึ่งในจังหวัดเพชรบูรณ์ ใช้กรรไกรเดินไล่กล้อนผมเด็กกว่า 100 คน จนแหว่ง ไม่เป็นทรง เศษผมปลิวว่อนทั่วโรงเรียน ..พร้อมจับนักเรียนทุกคนมาแก้ทรงผมให้กลายเป็นทรงเกรียนขาวสามด้าน”
เพจนักเรียนเลวยังระบุด้วยว่า ก่อนหน้านี้ไม่เคยมีเหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นมาก่อน “แต่เมื่อมีผู้อำนวยการโรงเรียนคนใหม่ย้ายเข้ามา ครูที่ปรากฎในภาพก็ไปขออนุญาตเพื่อจะกล้อนผมนักเรียน” จึงเกิดเหตุการณ์ดังกล่าว
หลังจากโพสต์นี้ถูกเผยแพร่ออกไปก็เกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์ในโลกออนไลน์เป็นจำนวนมาก อาทิ เมื่อไหร่จะหยุดกล้อนผมเด็ก นี้มันปีอะไรแล้ว, ทรงผมนักเรียนมันเกี่ยวกับการเรียนยังไง ตลอดจนเรียกร้องให้คุณพ่อคุณแม่ของนักเรียนรวมตัวกันเอาผิดครูที่ใช้อำนาจนิยมไล่ตัดผมนักเรียนแบบนี้”
- ต่อมาในวันเดียวกัน มานะ มะสิน ผู้อำนวยการโรงเรียนบึงสามพันวิทยาคม ออกมาอธิบายต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นว่า ที่ต้องตัดผมนักเรียนเป็นเพราะว่า “ผมยาวผิดระเบียบโรงเรียน” และยืนยันว่า “ไม่ใช่การกลั่นแกล้งแต่อย่างใด”
เขายังกล่าวเสริมถึงการตัดผมให้นักเรียนครั้งนี้ว่า เป็นเพราะโรงเรียนรู้ว่าเด็กหลายคนไม่มีเงิน บ้านอยู่ไกลจึงตัดผมให้ทุกคน พร้อมระบุว่า “นักเรียนส่วนใหญ่เข้าใจ” และ “ภาพที่ปรากฎในโซเชียลก็เป็นแค่บางส่วน ไม่ใช่ทั้งหมด”
นอกจากนี้ เสถียรพงษ์ ครูที่กล้อนผมนักเรียน ก็ออกมาพูดถึงประเด็นที่เกิดขึ้นว่า “ตัดผมให้นักเรียนตั้งแต่เช้า จนไม่ได้กินข้าว เพราะเกรงว่าจะตัดผมให้เด็กนักเรียนไม่เสร็จก่อนเวลาเลิกเรียน เนื่องจากมีนักเรียนชายที่ผมยาวผิดกฎระเบียบของโรงเรียนประมาณ 100 คน”
- กรณีดังกล่าวทำให้คนจำนวนมากพูดถึง การยกเลิกระเบียบทรงผมนักเรียนปี 2563 ที่มีผลบังคับใช้เมื่อวันที่ 2 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมาว่า เป็นสาเหตุหลักที่ทำให้การกล้อนผมกลับมาในรั้วโรงเรียนอีกครั้ง
โดยการยกเลิกระเบียบดังกล่าวส่งผลให้
- ศธ. ไม่กำหนดทรงผมของนักเรียนจะสั้นหรือยาวก็ได้
- แต่ทางโรงเรียนมีอำนาจในการกำหนดความเหมาะสมของทรงผมนักเรียนเอง
- การออกระเบียบทรงผมจะต้องรับฟังความคิดเห็นจากผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้อง เช่น นักเรียน ผู้ปกครอง
ถ้าจะสรุปง่ายๆ ก็คือรัฐมนตรีกรทรวงศึกษาธิการ ประกาศยกเลิกระเบียบ ศธ. ว่าด้วยการไว้ทรงผมของนักเรียนไป และมอบอำนาจให้แต่ละโรงเรียนเป็นกำหนดกฎระเบียบเกี่ยมกับทรงผมแทน โดยผ่านกระบวนการรับฟังความคิดเห็นจากผู้ที่เกี่ยวข้องนั่นเอง
ตรีนุช เทียนทอง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการพูดถึงการเซ็นยกเลิกระเบียบครั้งนี้ว่า เป็นผลมาจากการเรียกร้องในช่วงที่ผ่านมาให้แก้ไขปรับปรุงระเบียบ ศธ. พร้อมกับแสดงความเห็นด้วยว่า “การลงโทษเรื่องทรงผม ส่งผลทางร่างกายและจิตใจนักเรียน”
- ถ้าย้อนกลับไปดูในช่วงที่ผ่านมา ประเด็นทรงผมของนักเรียนเลยไปไกลกว่าแค่เรื่องกายภาพ แต่ยังส่งผลถึงการศึกษาของนักเรียนบางคน เช่น ข้าวกล้อง นักเรียนชั้น ม.6 ที่กลับมาจากการไปแลกเปลี่ยนที่แคนาดา แต่กลับมอบตัวไม่ผ่าน เพราะโรงเรียนให้เหตุผลว่า “ต้องไปตัดผมก่อน ถึงจะสามารถเข้าเรียนได้” ซึ่งทำให้ต่อมาข้าวกล้องเริ่มตั้งคำถามถึงระเบียบทรงผมในโรงเรียนไทย
“ทำไมทรงผมถึงกลายเป็นบรรทัดฐานของสังคมว่า การที่เราจะกลับไปเรียน (โรงเรียนไทย) เราต้องตัดผมก่อน ทำไมมันถึงกลายเป็นเงื่อนไขในการได้รับการศึกษาขั้นพื้นฐาน” ข้าวกล้องกล่าวกับ The MATTER
“ระเบียบต่างๆ ในโรงเรียนไทย ยิ่งทำให้เขารู้สึกถึงความล้าหลัง เพราะกฎเหล่านี้ไม่ได้เอื้อประโยชน์ใดๆ ให้กับผู้เรียนเลย และการมีระเบียบวินัยที่สังคมไทยต้องการ ก็คือการทำให้ทุกๆ คน ‘เหมือนกัน’ ทั้งทรงผมและชุดเครื่องแบบ” ข้าวกล้องกล่าว
- นอกจากนี้ ยังมีการต่อสู้จากฝั่งนักเรียนมากมายเพื่อชวนให้สังคมหันมาตั้งคำถามกับกฎระเบียบเหล่านี้ เช่น ในปี 2563 มีแคมเปญ #1ธันวาบอกลาเครื่องแบบ ที่จัดโดยภาคีนักเรียน KKC ซึ่งมีเป้าหมายเพื่อตั้งคำถามกับกฎการแต่งชุดเครื่องแบบไปโรงเรียน จนนำไปสู่คำถามในวงกว้างว่า ชุดนักเรียนยังเป็นสิ่งที่จำเป็นอยู่จริงๆ เหรอ?
หรือกรณีของ พลอย–เบญจมาภรณ์ นิวาส นักเรียนชั้น ม.ปลาย ที่ออกมาตั้งคำถามกับระเบียบทรงผม ด้วยการนั่งอยู่บนเก้าอี้พร้อมด้วยมือที่ถูกมัดไว้ เทปกาวปิดปาก บนอกมีป้ายแขวนไว้ว่า “นักเรียนคนนี้ประพฤติผิดกฏโรงเรียน ไว้ผมยาวเกินติ่งหู และไว้ผมหน้าม้าทำลายเอกลักษณ์ของนักเรียนไทย เชิญลงโทษนักเรียนคนนี้” เรียกกระแส #เลิกบังคับและจับตัด ติดเทรนด์บนในโลกออนไลน์ แต่การละเมิดสิทธินักเรียนก็ยังไม่หายไป
- The MATTER เคยถกถามกับ พริษฐ์ วัชรสินธุ ผู้จัดการสื่อสารและการรณรงค์นโยบายของพรรคก้าวไกลว่าด้วยเรื่องเสรีทรงผม หลังมีประกาศยกเลิกระเบียบทรงผมนักเรียน โดยพริษฐ์มองว่าการยกเลิกดังกล่าวไม่ได้นำไปสู่เสรีทรงผมของนักเรียนจริง
เพราะถึงแม้ว่ากระทรวง ศธ.จะไม่ได้บังคับทรงผมแล้ว แต่โรงเรียนยังมีอำนาจในการออกกฎควบคุมทรงผมที่เข้มงวดและสุดโต่งได้อยู่ หรือพูดได้ว่าเป็นเพียงการโอนอำนาจากมือ ศธ.ไปสู่โรงเรียนแค่นั่นเอง
- พริษฐ์ให้ความเห็นว่า ศธ. ควรมองเรื่องทรงผมเป็นสิทธิขั้นพื้นฐานตามรัฐธรรมนูญ ดังนั้น จึงไม่ควรมีการออกกฎมาควบคุมในเรื่องนี้แม้แต่น้อย และเสริมว่าถ้ากระทรวงศึกษาธิการมีความต้องการให้เกิดเสรีทรงผมจริงๆ ควรออกกฎระเบียบที่ควบคุมการละเมิดเรื่องนี้อย่างชัดเจนมาเลย เช่น ห้ามให้บุคลากรในโรงเรียนละเมิดสิทธิทรงผมของนักเรียน
และทางกระทรวงฯ ควรมีมาตรการคุ้มครองนักเรียนที่ถูกละเมิดสิทธิไม่ว่าทั้งทางวาจาหรือทางร่างกายด้วย อาทิ การกำหนดบทลงโทษบุคลากรที่ละเมิดสิทธินักเรียน เช่น พักใบประกอบวิชาชีพแทนการโยกย้าย หรือการสร้างกลไกหรือพื้นที่ปลอดภัย ให้นักเรียนร้องเรียนเมื่อพบปัญหาละเมิดสิทธิ ซึ่งต้องเป็นกลไกที่เป็นอิสระจากโรงเรียน เพื่อความสบายใจในการเรียกร้อง
ท้ายสุดพริษฐ์กล่าวว่า “ระเบียบทรงผมเป็นอุปสรรคต่อการเรียนรู้ ถ้าอยากให้นักเรียนมีประสิทธิภาพในการเรียนรู้ นักเรียนจำเป็นต้องรู้สึกปลอดภัย และเป็นตัวของตัวเอง เพราะความกังวลและความกลัวที่จะถูกลงโทษ จะทำให้สมาธิในการเรียนรู้ของเด็กยิ่งน้อยลง”
- ภิญญพันธุ์ พจนะลาวัยณ์ ผู้เขียนหนังสือ ‘เครื่องแบบ ทรงผม หน้าเสาธง ไม้เรียว: ประวัติศาสตร์วินัยและการลงโทษในโรงเรียนไทย’ เคยอธิบายระเบียบที่ให้อำนาจโรงเรียนในการดำเนินการกับนักเรียนที่ผิดระเบียบว่า
“เมื่อเทียบกับการจัดหลักสูตรและแผนการศึกษาชาติ ซึ่งน่าจะเป็นหัวใจหลักของการศึกษาแล้ว การออกระเบียบเช่นนี้แสดงถึงความหมกหมุ่นที่จะจัดการควบคุมเด็กและเยาวชนผ่านเครื่องแบบและเรือนร่าง”
- ล่าสุด ตรีนุช เทียนทอง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ออกมายอมรับว่าการการทำดังกล่าวมีความไม่เหมาะสม พร้อมระบุว่า “ถึงแม้ว่าโรงเรียนจะมีสิทธิ์ในการกำหนดลักษณะทรงผม แต่ต้องขึ้นอยู่กับความเหมาะสมด้วย”
เธอยังกล่าวเสริมอีกว่า ถ้านักเรียนทำผิดกฎ “การลงโทษมีเพียงว่ากล่าวตักเตือน ทำทัณฑ์บน ตัดคะแนนประพฤติ และทำกิจกรรมเพื่อให้ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมเท่านั้น และ “การกระทำของครูดังกล่าวขัดกับแนวทางการลงโทษนักเรียน ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้อง”
และ รมต.ศธ. ยังสั่งการสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐานให้ตรวจสอบข้อเท็จจริงในการกระทำของผู้อำนวยการโรงเรียนและครูชายรายดังกล่าวด้วย
แต่รัฐมนตรีกระทรวงศึกษาฯ ก็ยังไม่ได้กล่าวถึงการยกเลิกระเบียบดังกล่าว ซึ่งถูกวิพากษ์วิจารณ์ว่าเป็นการผลักภาระให้โรงเรียนกับเด็กทะเลาะกันเองในเรื่องของระเบียบทรงผม
ซึ่งน่าติดตามต่อไปว่าจะมีบทสรุปเช่นไร เพราะมันจะกลายเป็นบรรทัดฐานใหม่ในเรื่องของการควบคุมทรงผมของนักเรียนภายในรั้วโรงเรียน
อย่างไรก็ตาม สิ่งที่เกิดขึ้นที่โรงเรียนบึงสามพันวิทยาคม เป็นการยืนยันได้อย่างหนึ่งว่าเสรีทรงผมยังไม่เกิดขึ้นจริงในรั้วโรงเรียนไทย
อ้างอิงจาก