ผ่านไปราว 24 ชั่วโมงแล้วกับเหตุยิงที่ย่านสายไหม โดยผู้ก่อเหตุเป็นตำรวจสันติบาล ที่ใช้อาวุธปืนยิงบริเวณที่พักย่านสายไหม ทำให้นำไปสู่สถานการณ์ปิดล้อมกลางกรุง จนหน่วยคอมมานโดจะใช้ยุทธวิธียิงแก๊สน้ำตา แต่แล้วในขณะนี้สามารถรวบตัวผู้ก่อเหตุได้แล้ว
เกิดอะไรขึ้นบ้างในเหตุการณ์นี้ The MATTER ขอสรุปเรื่องราวทั้งหมดมาให้ฟัง
- เหตุการณ์เริ่มต้นตั้งแต่เมื่อวาน (14 มีนาคม) เวลา 10.00 น. ทางตำรวจได้รับแจ้งเกิดเหตุว่า “มีชายคลุ้มคลั่งก่อเหตุยิงบริเวณบ้านมั่นคง แยกซอยสายไหม 46 แขวงและเขตสายไหม” ทำให้ทางตำรวจเขตสายไหมรีบเร่งเข้าระงับเหตุทันที
แม้ตำรวจจะได้รับแจ้งเหตุเมื่อเวลา 10.00 น. แต่ผู้สื่อข่าวภาคสนามของรายการ ‘เจาะลึกทั่วไทยอินไซด์ไทยแลนด์’ รายงานว่า เกิดเหตุกราดยิงมาตั้งแต่เวลาประมาณ 8.00 น. แล้ว
2. 1 ชั่วโมงต่อมาหลังจากการเข้าตรวจสอบพบว่า ชายผู้ก่อเหตุคือกิตติกานต์ แสงบุญ หรือ สารวัตรกานต์ วัย 51 ปี ตำรวจสังกัดศูนย์พัฒนาด้านการข่าวสันติบาล เป็นผู้ก่อเหตุยิงปืนอยู่ภายในบ้านพักของตัวเอง
ทั้งนี้ เพื่อนของสารวัตรกานต์ระบุว่า “เขามีอาการป่วยทางจิต แล้วโทรศัพท์ให้มารับ แต่เมื่อมาถึงหน้าบ้าน เขาก็มีอาการคอย่ลุ้มคลั่ง และยิงปืนออกมาจากภายในบ้านเป็นระยะ” อย่างไรก็ตาม ยังไม่มีข้อมูลยืนยันอาการป่วยทางจิตของสารวัตรกานต์
- จากนั้น ในช่วง 12.30 น. ตำรวจอรินทราช 30 นาย พร้อมกับตำรวจสายไหม ระดมปืนปิดล้อมเพื่อระงับเหตุ หลังสารวัตรกานต์ถือปืนเดินออกมาจากบ้าน พร้อมตะโกนด่าทอเป็นระยะ
- หลังผ่านไป 1 ชั่วโมง เจ้าหน้าที่ตำรวจพยายามเกลี้ยกล่อมสารวัตรกานต์ แต่กลับกลายเป็นว่ายิ่งเป็นการสร้างความตึงเครียดและกดดันแทน ทำให้สารวัตรกานต์ยิงปืนสวนออกมาเป็นระยะๆ มากกว่า 20 นัด
- ต่อมาไม่นานเวลา 14.00 น. ชาวบ้านที่อาศัยอยู่ในระแวกใกล้เคียงเล่าว่า “สารวัตรกานต์ขาดราชการหลายวัน โดยมักจะเห็นเขาถือโทรศัพท์ ใส่หูฟังพูดคนเดียว และตะโกนด่าทอไปเรื่อย บางวันก็จะยิงปืนขึ้นฟ้า”
- จากนั้นสักพัก ในช่วง 16.10 น. ธีรเดช ธรรมสุธีร์ ผู้บังคับการสืบสวนสอบสวน ซึ่งเคยเป็นอดีตผู้บังคับบัญชาในสังกัดเดียวกับสารวัตรกานต์ เข้าไปเจรจาเขา นอกจากนี้ เจ้าหน้าที่พยายามขยายแนวกั้นพื้นที่ เพื่อกันสื่อมวลชนให้ออกห่างจากรัศมีจุดเกิดเหตุประมาณ 100 เมตร พร้อมกับอพยพชาวบ้านที่อยู่ระแวกนั้นด้วย
- เพื่อให้สถานการณ์คลี่คลายลูกชายของสารวัตรกานต์ พยายามเข้าเจรจาและเกลี้ยกล่อม เพื่อให้วางอาวุธปืน และมอบตัว แต่การเจรจาไม่เป็นผล
ด้วยเหตุนี้ ต่อศักดิ์ สุขวิมล รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติจึงเดินทางมาเพื่อควบคุมสถานการณ์ด้วยตนเอง พร้อมสั่งห้ามให้เจ้าหน้าที่ใช้ความรุนแรงเพื่อให้ได้เข้ารับการบำบัด
- ราวทุ่มกว่าๆ เกิดเสียงปืนดังขึ้นต่อเนื่องกว่า 10 นัด โดยเจ้าหน้าที่ตำรวจตะโกนออกไปว่า “ผู้ก่อเหตุยิงตอบโต้” ทำให้เจ้าหน้าที่ตัดสินใจยิงแก๊สน้ำตากลับไปทันที แต่ปรากฎว่าแก๊สน้ำตาก็ไม่ได้ผล
จากนั้น เกือบ 2 ชั่วโมงต่อมา เวลา 20.35 น. หน่วยปฏิบัติการพิเศษคอมมานโดประมาณ 10 นาย เดินทางมาพร้อมอุปกรณ์และอาวุธพิเศษ เพื่อเข้าควบคุมสถานการณ์
และ 1 ชั่วโมงถัดมา เวลา 21.42 น. เจ้าหน้าที่ต่อสายถึงมารดาของสารวัตรกานต์ โดยคุณแม่กล่าวกับเขาว่า “ทุกคนเป็นห่วง เเละกำลังจะรีบเดินทางมาหา” แต่เจ้าตัวปฏิเสธที่จะคุยด้วย พร้อมตะโกนออกมาว่า “อยากตาย” ดังนั้น เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงประสานทีมจิตแพทย์เข้ามาเกลี้ยกล่อมอีกทางหนึ่ง
- ท่ามกลางสถานการณ์ที่เกิดขึ้น ต่อศักดิ์ ก็ยังเน้นย้ำว่าห้ามใช้ความรุนแรงในการควบคุม เพราะสารวัตรกานต์ไม่เข้าข่ายเป็นภัยกับคนอื่น ให้ใช้การเจรจาเป็นหลัก พร้อมกับที่แพทย์จิตเวชระบุว่า “ผู้ป่วยจิตเวช จะไม่รู้สึกอะไร แม้จะโดนแก๊สน้ำตา”
- จนกระทั่งเวลา 02.00 น. ของวันนี้ (15 มีนาคม) ตำรวจอรินทราช พร้อมหน่วยคอมมานโด เข้าปิดล้อมบ้านพัก พร้อมระดมยิงแก๊สน้ำตาเข้าไปภายในบ้านมากกว่า 32 ลูก แต่สารวัตรกานต์ยังไม่ยอมมอบตัวกับเจ้าหน้าที่
- ต่อมาช่วง 05.05 น. ทางเจ้าหน้าที่ระดมยิงแก๊สน้ำตาเข้าไปในบ้านอีกครั้งนับ 10 นัด และเอาบันไดปีนขึ้นไปบนชั้น 2 เอาคีมตัดเหล็กจะเข้าไปตัดเหล็กดัด เพื่อบุกเข้าไปชาร์จตัวสารวัตรกานต์ แต่ก็ต้องถอยกรูดออกมา เพราะถูกยิงตอบโต้ออกมาเป็นชุดใหญ่เช่นกัน
- เหตุการณ์ดังกล่าวกินเวลายาวนานกว่า 21 ชั่วโมงแล้ว ตำรวจจึงเริ่มรุกหนัก โดยปีนบ้านของสารวัตรกานต์ พร้อมบอกให้ผู้ก่อเหตุวางอาวุธ แต่ก็ไม่มีเสียงตอบกลับมาแต่อย่างใด จากนั้นก็มีเสียงคล้ายระเบิดดังขึ้นอีกเป็นระยะ
และ 40 นาทีต่อมา เจ้าหน้าที่หน่วยปฏิบัติการพิเศษ ได้ถอนกำลังออกจากพื้นที่ เพื่อวางแผนกันใหม่ แต่ขณะเดียวกันมีการใช้โทรโข่งเจรจาอยู่เป็นระยะ
13. พอมาถึงตอนเช้าวันนี้ เวลา 07.30 น. ชุดปฏิบัติการต้องส่งหน่วยเจรจาเข้าไปเกลี้ยกล่อม แถมร้องเพลง ‘จดหมายจากแนวหน้า’ ของ ยอดรัก สลักใจ ให้ฟัง แต่ก็ไม่เป็นผล ต้องถอยกลับมาวางแผนกันใหม่
อย่างไรก็ดี เกิดเสียงวิจารณ์มากมายต่อการร้องเพลงเกลี้ยกล่อมผู้ก่อเหตุ อาทิ “ต่างประเทศวิสามัญทิ้งแล้วประเทศไทยร้องเพลงให้ฟังกล่อมคนร้ายประเทศเมืองพุทธ” หรือ “คนคลั่งคนเดียว ไม่มีตัวประกัน ตำรวจอาวุธครบมือ ..ทำอะไรไม่ได้จริงๆ หรอ นอกจาก ร้องเพลงกล่อม ใช้เวลานานขนาดนี้เลย?”
นอกจากนี้ ก็ยังมีเพื่อนสนิทช่วยร้องเพลงขับกล่อมหลายเพลง อาทิ ‘พบรักที่ปากน้ำโพ’ จากนั้นก็บอกว่า “ออกมาได้แล้วพี่ พวกเรารักพี่ทุกคน ออกมาหาพวกเรานะพี่” แต่ก็ไร้การตอบรับ
- ต่อมาในช่วง 08.00 น. ธีรเดช ธรรมสุธีร์ อดีตผู้บังคับบัญชาของสารวัตรกานต์ ได้เข้าเกลี้ยกล่อม โดยกล่าวผ่านโทรโข่งว่า “จะให้สารวัตรกานต์ กลับไปประจำการที่สังกัดเดิม คือกองบัญชาการตำรวจปราบปรามยาเสพติด”
คำกล่าวนี้ ทำให้เกิดคำถามตามมาว่า มูลเหตุที่แท้จริง อาจมีส่วนเกี่ยวโยงมาจากการโยกย้าย-แต่งตั้งข้าราชการหรือเปล่า
- เหตุการณ์ดำเนินต่อมาถึงเวลา 9.10 น. ธิติ แสงสว่าง ผู้บัญชาการตำรวจนครบาล ออกมาเปิดเผยกับสื่อว่า “ขณะนี้ประเมินสถานการณ์แล้ว ความคืบหน้าเราสามารถกระชับพื้นที่เข้าไปได้มากขึ้นเราเห็นวิธีการอำพรางตัวของเขา แต่ในขณะที่ยังมีความเสี่ยงอยู่เพราะเขามีอาวุธ โดยแพทย์นั้นได้วินิจฉัยแล้วว่าเขาเป็นคนป่วยสำหรับความช้าต้องบอกว่าเขาเป็นคนป่วยเราต้องใช้วิธีที่ดีที่สุดเพราะเขาไม่สามารถออกมาจากห้องได้ไม่สามารถทำร้ายใครได้ ตอนนี้ไม่สามารถที่จะสื่อสารกันได้อย่างปกติเราต้องหาวิธีการควบคุมตัวให้ได้”
- หลังผ่านไปเกือบ 24 ชั่วโมงแล้ว เวลาประมาณ 9.30 น. ตำรวจหน่วยอรินทรราช ถูกกระสุนที่ยิงออกมาจากบ้านของสารวัตรกานต์หลายสิบนัด โดยมีกระสุนไปกระทบถูกหมวกนิรภัย แต่ไม่ทะลุ ทำให้เขาไม่ได้รับบาดเจ็บถึงชีวิต
- ขณะเดียวกัน สำนักงานตำรวจแห่งชาติได้เปิดเผยภาพถ่ายจากโดรน ซึ่งเห็นตัวสารวัตรผู้ก่อเหตุ กำลังนอนพักผ่อนอยู่บริเวณชั้นสองของบ้าน นอกจากนี้ ทีมปฏิบัติการคาดการณ์ว่า ในบ้านของสารวัตรกานต์มีอาวุธทั้งปืน และมีด จึงทำให้เจ้าหน้าที่ไม่สามารถเข้าไปภายในบ้าน หรือชาร์จตัวได้ จึงพยายามใช้วิธีเจรจา แทนการบุกจับและใช้ความรุนแรงเพื่อระงับเหตุแทน
นอกจากนี้ หลังภาพกบดานของสารวัตรกานต์จากโดรนตำรวจถูกเผยแพร่ออกมา มีชาวเน็ตตั้งข้อสังเกตถึงสิ่งที่อยู่รอบตัวสารวัตรกานต์ อาทิ ท่อพีวีซีสีฟ้าที่ต่อเหมือนบ้อง และวัตถุคล้ายมวนบุหรี่กระจายเต็มห้อง ได้นำไปสู่การตั้งคำถามของผู้คนมากมายต่อสิ่งที่พบเห็น
- ทั้งนี้ ในวันนี้ (15 มีนาคม) เวลาประมาณ 11.00 น. สรยุทธ สุทัศนะจินดา นักข่าวช่อง 3 ออกมาโพสต์ข้อความระบุว่า ‘เปิดประวัติสารวัตรกานต์’ กิตติกานต์ พลตำรวจโท เคยทำงานอยู่ที่ กองบังคับการปราบยาเสพติด หน่วยอุดรธานี ตั้งแต่ยศร้อยตำรวจเอก แต่ทำงานด้านเอกสาร อยู่ที่กรุงเทพ ไม่ได้ทำงานด้านสืบสวน-ปราบปราม จับกุมผู้ต้องหาได้ เนื่องจากยังไม่มีความเชี่ยวชาญ
จากนั้น ก็ได้ขึ้นยศพันตำรวจตรี ที่บรรณาธิการข่าวกรองของกองบัญชาการตำรวจปราบปรามยาเสพติด ฝ่ายอำนวยการ ต่อมาสารวัตรกิตติกานต์ย้ายไปอยู่ที่ กองบัญชาการศึกษาและตำรวจสันติบาล ในตำแหน่งสารวัตรศูนย์พัฒนาด้านการข่าว ซึ่งเป็นการโยกย้ายออกนอกหน่วย
แต่เจ้าหน้าที่กล่าวว่า กิตติกานต์ ไม่มีความเครียดเรื่องโยกย้าย แต่เพื่อนสนิทของเขาให้ข้อมูลกับทีมข่าวเรื่องเล่าเช้านี้ว่า “สารวัตรกานต์เครียดเรื่องการย้ายงาน ก่อนก่อเหตุปิดตัวเงียบและซื้อเครื่องดื่มแอลกฮอล์ดื่มทุกเย็น”
- หลังจาก 45 นาทีต่อมา ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผู้บังคับบัญชาการตำรวจ ได้เข้ามาพูดคุยกับสารวัตรกานต์ แต่ไม่สำเร็จ อย่างไรก็ดี ดำรงศักดิ์กล่าวว่า “เขายังไม่ใช่คนร้าย ถือว่าเป็นคนป่วย และต้องใช้วิธี การเจรจาเป็นหลัก ทางทีมแพทย์ค่อนข้างหนักใจ เขาต้องได้รับการฉีดยา ยืนยันจะทำให้ดีที่สุด เรื่องสารเสพติด เรายังไม่มีการายงานที่ชัดเจน”
- อย่างไรก็ดี เมื่อช่วงเที่ยงของวันนี้ เอกภาพ หงสกุล ว่าที่ผู้สมัครสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรพรรคเพื่อไทย เขตสายไหม ได้ลงพื้นที่เพื่อดูแล และเป็นกำลังใจให้พี่น้องประชาชนในบริเวณนอกเขตที่กั้นของตำรวจ
โดยเอกภาพระบุการแก้ปัญหาในระยะสั้นต่อเหตุการณ์นี้ว่า “ผู้บังคับบัญชาควรดูแลพฤติกรรมของผู้ใต้บังคับบัญชาอย่างใกล้ชิด ถ้าพวกเขามีอาการป่วยหรือมีอาการทางจิต ควรที่จะเข้าไปพูดคุย พาเข้ารับการรักษา รวมทั้ง ยึดปืนเพื่อความปลอดภัย สำหรับการแก้ปัญหาในระยะยาว องค์กรตำรวจควรได้รับการปฏิรูปโดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องความกดดันภายในองค์กร เงินเดือนและสวัสดิการตำรวจ”
“ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมามีเหตุการณ์สะเทือนขวัญแบบนี้เกิดขึ้นซ้ำซากโดยไม่มีการถอดบทเรียนมาเพื่อแก้ไขปัญหาภายในองค์กรทหารตำรวจอย่างจริงจัง สุดท้ายประชาชนที่ไม่รู้เรื่องต้องมารับชะตากรรมเป็นเหยื่อของเหตุการณ์ดังกล่าว จึงอยากให้รัฐบาลเฝ้าระวังตรวจสอบการใช้ยาเสพติดและสุขภาพจิตของเจ้าหน้าที่เพื่อป้องกันไม่ให้เหตุการณ์ในลักษณะที่คล้ายกันเกิดขึ้นซ้ำซากได้อีก” เอกภาพกล่าวปิดท้าย
21. หลังจากนั้นเพียงไม่กี่นาที หรือเวลา 12.25 น. เจ้าหน้าที่จากอรินทราช ปืนขึ้นหลังคาชั้น 2 ของบ้าน สารวัตรกานต์ เพื่อตัดสินใจบุกลุยจับ หลักจากนั้นมีเสียงปืนดังสนั่นรัวไปทั่วพื้นที่หลายนัด จนสื่อมวลชนแตกตื่น และรถพยาบาลถอยเข้าพื้นที่เกิดเหตุทันที
22. ทั้งนี้ ล่าสุดการปฏิบัติการควบคุมตัวสารวัตรกานต์จบลงแล้ว หลังผ่านไป 28 ชั่วโมง เพราะเจ้าหน้าที่สามารถรวบตัวสารวัตรกานต์ขึ้นรถพยาบาล เพื่อไปดูอาการที่โรงพยาบาลภูมิพลได้แล้ว
อย่างไรก็ตาม จนถึงตอนนี้ยังไม่มีข้อมูลชี้ชัดว่าอะไรคือแรงจูงใจต่อการก่อเหตุในครั้งนี้
อ้างอิงจาก