หลังจากที่เจ้าหน้าที่ตรวจพบฝุ่นโลหะที่มีซีเซียม-137 ปนเปื้อนอยู่ในโรงหลอมเหล็กที่อำเภอกบินทร์บุรี จังหวัดปราจีนบุรี ก็มีข้อกังวลเกี่ยวกับสุขภาพและความปลอดภัยตามมาอีกมากมาย จนเกิดเป็นคำถามว่า แล้วรัฐบาลจะต้องยื่นมือเข้ามาช่วยเหลืออย่างไรบ้าง? ซึ่งประเด็นนี้ ทาง The MATTER ก็ได้มีโอกาสคุยกับ ‘สนธิ คชวัฒน์’ ผู้เชี่ยวชาญด้านสิ่งแวดล้อมและสุขภาพ
แต่ก่อนอื่น เราขอย้อนเล่าถึงเหตุการณ์นี้โดยคร่าวๆ ก่อน
ซีเซียม-137 เป็นสารกัมมันตรังสีที่หายไปจากโรงไฟฟ้าในจังหวัดปราจีนบุรี แล้วต่อมาก็ตรวจพบฝุ่นโลหะที่มีซีเซียม-137 ปนเปื้อนอยู่ในโรงหลอมเหล็กที่อำเภอกบินทร์บุรี จังหวัดปราจีนบุรี ส่วนคำถามที่ว่าแล้วซีเซียมถูกหลอมไปแล้วหรือยัง กิตติ์กวิน อรามรุญ หัวหน้าศูนย์ปฏิบัติการฉุกเฉินทางนิวเคลียร์และรังสี สำนักงานปรมาณูเพื่อสันติ ให้สัมภาษณ์กับ Thai PBS ไว้ว่า ยังไม่สามารถตอบได้ว่าหลอมแล้วหรือไม่ เพราะยังต้องรอการตรวจสอบของตำรวจอีกที ว่าซีเซียม-137 ที่หลอมไป ใช่อันเดียวกับที่หาอยู่หรือไม่
กิตติ์กวิน ยังอธิบายถึงกระบวนการหลอมโลหะว่าเป็นการหลอมในระบบปิด โดยหลอมให้เป็นน้ำเหล็ก ทีนี้พอหลอมแล้วจะเกิดเป็นเขม่าอยู่ภายในเตาหลอม ซึ่งเตานี้ก็จะมีเครื่องดักจับ (หรือระบบกรองตัวฝุ่นที่อาจปนเปื้อน) ก็จะเอาตัวฝุ่นใส่ลงไปในถุง big bag เพื่อเอาไปเก็บในอาคารอีกที
แต่เครื่องดักจับนี้สามารถดักจับเขม่าได้ 100% หรือไม่? สนธิ อธิบายไว้ว่า เจ้าเครื่องนี้สามารถกรองฝุ่นละเอียดไว้ได้ 90% แต่อีก 10% จะลอยออกไปที่ปลายปล่องสู่บรรยากาศรอบๆ โรงงานหลอมเหล็กซึ่งอาจไปไกลมากกว่า 5 กม. โดยในเตาหลอมก็จะยังคงมีส่วนที่เผาไหม้ไม่หมดกองอยู่ที่ตะกรันเหล็กที่อยู่ตรงก้นเตาหลอมด้วยเช่นกัน ซึ่งสนธิทราบมาว่าโรงงานหลอมเอาไปฝังกลบไว้รอบๆ โรงงาน ดังนั้นจึงต้องตรวจสอบทั้งในดิน น้ำผิวดิน และน้ำใต้ดิน ส่วนในชั้นบรรยากาศที่ฝุ่นดังกล่าวลอยออกไปตอนนี้ไม่สามารถตรวจได้แล้ว
สนธิยังให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า ฝุ่นแดงที่ปนเปื้อนซีเซียม-137 ถูกนำไปรีไซเคิลยังโรงงานบริษัท เอ็น เอฟ เอ็ม อาร์ จำกัด ตำบลหนองแฟบ จังหวัดระยองแล้วเมื่อวันที่ 2 มีนาคม เพื่อสกัดธาตุสังกะสีไปใช้ ซึ่งจะทำให้สารซีเซียม-137 แพร่กระจายออกไปในวงกว้างมากขึ้นและเกิดอันตรายต่อประชาชนและระบบนิเวศด้วยเช่นกัน
ส่วนที่ทางสำนักงานปรมาณูเพื่อสันติออกมาให้ข้อมูลว่ายังไม่พบระดับซีเซียมที่เกินกว่าค่ามาตรฐาน 0.15 ไมโครซีเวิร์ต/ชั่วโมง สนธิก็มองว่าอย่างไรก็ต้องตรวจต่อไปเรื่อยๆ ให้ทั่วในพื้นที่รัศมีอย่างน้อย 5 กม. แล้วต้องตรวจอย่างน้อย 1-2 ปี พร้อมกับต้องตรวจสุขภาพของประชาชนอย่างน้อย 5 ปี เพราะสิ่งที่น่ากลัวคือต่อให้หายใจเข้าไปแค่นิดเดียว แต่ซีเซียม-137 ก็จะเข้าไปสะสมในกล้ามเนื้อ ในไขกระดูกแล้วก็ค่อยๆ ปล่อยรังสีออกมาทำลายเซลล์ของเราทีละนิดอย่างต่อเนื่อง จนอาจทำให้ DNA และโครโมโซมเปลี่ยนแปลง เกิดเป็นมะเร็งได้ ซึ่งในระยะสั้นไม่สามารถตรวจเจอ
โดยสาเหตุที่ต้องเฝ้าระวังระบบนิเวศ ทั้งน้ำ ในดิน น้ำใต้ดิน น้ำกิน น้ำใช้ พืชผัก ผลไม้ ก็เป็นเพราะตอนนี้ซีเซียม-137 กระจายออกไปแล้ว อีกทั้งโรงงานยังเอาก้นเตาหลอมไปฝังไว้บริเวณรอบๆ โรงงานทำให้เกิดการปนเปื้อนในชั้นดินแล้ว ซึ่งยังตรวจตอนนี้ไม่เจอ แต่ถ้าตรวจเจอแล้ว ต้องขุดดินส่วนนั้นไปทิ้ง ถ้าเจอในน้ำก็ต้องระบายทิ้ง แต่อย่างไรก็ต้องตรวจก่อน
“ประเด็นคือขอให้ตรวจเถอะ ผมกลัวไม่ตรวจก็เท่านั้น ถ้าครั้งแรกตรวจไม่เจอแล้วต่อไปไม่ตรวจอีกก็ไม่ได้ เพราะกว่าจะเข้าสู่ห่วงโซ่อาหาร หรือพืชผักต้องใช้เวลา ไม่ใช่ตรวจแล้วเจอเลย” สนธิกล่าว
ทั้งนี้ สนธิยังแนะนำให้กระทรวงสาธารณสุขออกมาแถลงข่าวให้ประชาชนทราบด้วยว่า ถ้าได้รับรังสีจะมีอาการอย่างไร ซึ่งเรื่องสุขภาพเป็นเรื่องที่ต้องใช้เวลาดูกันไปยาวๆ ราว 5-10 ปี
เมื่อถามถึงมาตรการการจัดการ สนธิกล่าวว่าตอนนี้ทางหน่วยงานรัฐยังไม่มีนโยบายอะไรออกมา แต่กำลังประชุมวางแผนกันว่าจะจัดการเมื่อไร ก็ต้องรอฟังข่าวต่อไป
อ้างอิงจาก