ยินดีต้อนรับเข้าสู่แบล็ก เมซา—รถไฟหน้าตาล้ำลึกวิ่งไปตามทางพร้อมเสียงคอมพิวเตอร์ที่กำลังอธิบายประเด็นเรื่องความปลอดภัยเกี่ยวกับห้องปฏิบัติการที่เรากำลังจะไป
Half-Life เป็นอีกหนึ่งเกมในความทรงจำของเหล่าเด็กวัยรุ่นยุคร้านคอมฯ ฮาล์ฟไลฟ์ถือเป็นเกมที่ทำให้เราคุ้นเคยกับเกมยิงมุมมองบุคคลที่ 1 (FPS) เป็นเกมที่ให้ความสำคัญกับเนื้อเรื่อง เปิดโอกาสให้เรารับบทเป็นคนธรรมดาในเรื่องราวและการดิ้นรนต่อสู้กับเอเลี่ยนในลักษณะที่สมจริงมากขึ้น แถมฮาล์ฟไลฟ์ยังเป็นเกมที่ต่อมามี Mod ที่ทำให้เกมเมอร์รู้จักกับสุดยอดเกมยิงที่ยังมีชีวิตอยู่จนปัจจุบัน Counter-Strike
นับจาก Doom ที่ถือว่าเป็นเกมยิงบุคคลที่ 1 เกมแรกในปี 1993 จากการเดินยิงเอเลี่ยนไปเรื่อยๆ โดยนักรบแถวหน้า ฮาล์ฟไลฟ์จำหน่ายครั้งแรกในวันที่ 19 พฤศจิกายน 1998 เกมพาเรารับบทบาทเป็น Gordon Freeman นักฟิสิกส์ทฤษฎีที่กำลังเดินทางไปปฏิบัติหน้าที่ที่ Black Mesa หลังจากนั้นจากนักวิทยาศาสตร์ธรรมดากลับต้องต่อสู้กับเหล่ามนุษย์ต่างดาวและบุคคลปริศนา—ฮาล์ฟไลฟ์ถือเป็นเกมที่ให้ความสำคัญกับการเล่าเรื่องเพื่อดึงเราเข้าไปในเกม
การควงอาวุธในเกมเริ่มจากการควงชะแลง อาวุธเริ่มต้นบอกเราว่านี่เป็นการต่อสู้ของนักวิทยาศาสตร์ธรรมดาๆ แม้ว่ากราฟิกของเกมสมัยนั้นจะไม่ได้คมกริบเหมือนยุคปัจจุบัน แต่ทั้งการรับบทเป็นคนเดินดินไม่ใช่นักรบ ประเด็นเรื่องความสมจริงทั้งจากการเล่าเรื่อง การเป็นคนธรรมดา ไปจนถึงการออกแบบเกมเพลย์ เช่น การวางอาวุธไว้ในพื้นที่จริงๆ ไม่ใช่อาวุธลอยๆ เป็นแสงๆ ทำให้คนเล่นค่อนข้างอินกับการเป็นบุคคลที่ 1 และอินไปกับความหลอนความกดดันของเกม
นอกจากความหลอนแล้ว ฮาล์ฟไลฟ์ยังเป็นเกมในความทรงจำของชาวร้านเกมตรงที่มี Mod หรือการที่ผู้พัฒนาอื่นๆ พัฒนาตัวเกมให้มีสีสันมากขึ้น หนึ่งในนั้นคือระบบการเล่นหลายคน (multiplayer) เปิดโอกาสให้เด็กน้อยได้ลงไปร่วมถือชะแลงกันในสนามเดียวกัน ไปจนถึงพวก Mod ตลกๆ บ้าๆ บอๆ
แน่นอนว่าฮาล์ฟไลฟ์ส่งผลต่อวงการเกมในยุคต่อๆ มา และเป็นเกมที่อยู่ในความทรงจำของใครหลายคน หลังจากนั้นทางค่ายออกเกม Half-Life 2: Episode Two แต่สุดท้ายแม้ว่าเรื่องราวของคุณ Freeman จะถูกปูมาเป็นอย่างดี แต่ความฝันของ Half-Life ภาค 3 ก็ไม่บรรลุผลสักที
อ้างอิงข้อมูลจาก