หลังจากที่มีคนพ่นกำแพงวัดพระแก้วเป็นข้อความเลข 112 มีเส้นตรงขีดคาดก็มีคนออกมาตั้งคำถามถึงศิลปะการแสดงออกทางความคิดอย่างกราฟฟิตี้ว่าเหมาะสมหรือไม่
ประเด็นนี้ทำให้เกิดคำถามตามมาด้วยว่ากราฟฟิตี้ถูกนำมาใช้ในการแสดงออกความคิดเห็นทางการเมืองมากน้อยแค่ไหน? ซึ่งขอเริ่มจากคำว่า ศิลปะต่อต้าน (Resistance Art) หรือ ศิลปะประท้วง (Protest Art) ที่นับว่ามีส่วนสำคัญอย่างยิ่งในประวัติศาสตร์ที่ผ่านมา เพราะถูกใช้เป็นเครื่องมือแสดงออกเสรีภาพภายใต้การกดขี่ และเป็นหนทางในการแสดงการต่อต้านผู้มีอำนาจอันฉ้อฉลในสังคมอย่างรัฐ กฎหมาย หรืออำนาจการเมืองที่กดขี่ประชาชนอย่างไม่เป็นธรรม
แต่คำว่าศิลปะประท้วงนี้ไม่ได้จำกัดเพียงแค่ศิลปะตามขนบอย่างเดียว เพราะการอารยะขัดขืนที่แสดงออกมาในรูปของศิลปะกราฟฟิตี้ (Graffiti) ศิลปะจัดวางเจาะจงพื้นที่ (Site-specific installations) ศิลปะการแสดงสด (Performance Art) และ สตรีทอาร์ต (Street art) หรือแม้แต่ภาพล้อเลียน หรือ มีม (meme) ในสื่อออนไลน์ ก็ยังรับว่าเป็นศิลปะต่อต้านด้วยเช่นกัน
อย่างไรก็ดี กราฟฟิตี้ก็ยังเป็น 1 ในศิลปะที่เป็นที่ถกเถียงกันอยู่ว่าสิ่งนี้คือศิลปะหรืออาชญากรรม นั่นก็เป็นเพราะในบางมุม กราฟฟิตี้ก็เป็นเครื่องมือในการสร้างมูลค่าเพิ่มให้ชุมชน แต่ในอีกมุมหนึ่งก็ยังคงถูกเรียกว่าอาชญากรรมอีกเช่นกัน
โดยสาเหตุที่กราฟฟิตี้ถูกเรียกว่าอาชญากรรม ก็เป็นเพราะการสร้างสรรค์งานกราฟฟิตี้บนกำแพงในหลายๆ ประเทศ รวมถึงประเทศไทยก็ยังเข้าข่ายความผิดใน พ.ร.บ.รักษาความสะอาดและความเป็นระเบียบเรียบร้อยของบ้านเมืองเช่นกัน แต่ก็มีข้อโต้แย้งว่า กราฟฟิตี้เป็นการระบายความคิดของมนุษย์ออกมา ซึ่งมักถูกใช้เป็นเครื่องมือในการแสดงออกเรื่องการเมือง
ย้อนกลับไปในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ในเยอรมนี ภายใต้การปกครองของเผด็จการทหารและนาซี มีชาวเยอรมันกลุ่มหนึ่ง ‘The White Rose’ ออกมาต่อต้านระบบเผด็จการ โดยใช้ใบปลิวเป็นอาวุธให้คนออกมาต่อสู้กับความไม่เป็นธรรม ทั้งยังสนับสนุนให้คนออกมาพ่นกราฟฟิตี้เพื่อ ‘แสดงออกถึงจุดยืนเพื่อต่อสู้กับความคิดของรัฐบาลที่กดขี่ประชาชน’
ในช่วงเวลาของสงครามและการออกมาต่อต้านผู้นำสงครามในช่วงเวลานั้น ประชาชนก็แสดงการขัดขืนระบอบเผด็จการทหารและนาซีออกมาในรูปของ ‘ศิลปะกราฟฟิตี้’ โดยหนึ่งในข้อความที่ถูกบันทึกเอาไว้เป็นหลักฐานของการต่อสู้ก็คือข้อความที่เขียนว่า ‘Freiheit’ (Freedom) และ ‘mit Hitler runter’ (Down with Hitler)
แม้ว่าในตอนจบของกลุ่ม The White Rose จะถูกประหารชีวิต แต่การต่อสู้ในครั้งนั้นก็นับว่าเป็นหนึ่งในการต่อสู้ด้วยอุดมการณ์ที่ได้รับการจดจำมากที่สุดในหน้าประวัติศาสตร์
ต่อมา ศิลปะกราฟฟิตี้ก็เริ่มขยายตัว และกลายมาเป็นเครื่องมือที่ใช้แสดงออกทางความคิด โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงปี 1970 ที่นิวยอร์ก
แต่ในช่วงเวลานั้น กราฟฟิตี้ ถูกมองเป็นวัฒนธรรมของ ‘ความรุนแรงและถูกแปะป้ายให้เป็นวัฒนธรรมของคนดำ’ รวมไปถึงรัฐมนตรีประจำรัฐนิวยอร์กก็ออกมาประกาศนโยบายให้กำจัดกราฟฟิตี้ออกจากเมืองทั้งหมด ด้วยเหตุผลที่เขากล่าวว่า “กราฟฟิตี้ทำลายวิถีชีวิตของพวกเรา”
กระแสในแง่ลบของกราฟฟิตี้ดำเนินมาถึงจุดแตกหัก เมื่อไมเคิล สจ๊วต (Michael Stewart) ศิลปินกราฟฟิตี้เสียชีวิตเพราะถูกเจ้าหน้าที่ทำร้ายร่างกาย กราฟฟิตี้ก็กลายมาเป็นสัญลักษณ์ของการต่อสู้และความรุนแรงในที่สุด
ตัดภาพมาที่ประเทศไทย ก็พบว่าประเทศไทยก็เคยมีการใช้การพ่นข้อความลงบนพื้น และสถานที่ต่างๆ ในฐานะเป็นคำประกาศทางการเมือง เมื่อวันที่ 19 พฤศจิกายน 2563 เช่น ‘compromise พ่อมึงสิ’ ‘เย็นศิระ เพราะน้ำลงกระบาล’ เพื่อตอบโต้กับปฏิบัติการสลายการชุมนุมด้วยการฉีดน้ำแรงดันสูงผสมสารเคมี แก๊สน้ำตา ไปจนถึงการใช้กระสุนยาง
แต่นั่นก็ไม่ใช่ครั้งแรกของไทยที่มีการใช้กราฟฟิตี้ในการต่อต้านอำนาจรัฐ เพราะเมื่อวันที่ 19 กันยายน 2553 หลังจากเหตุการณ์ ‘บิ๊กคลีนนิ่งกรุงเทพฯ’ ที่จัดขึ้นเพื่อล้างคราบเลือดจากการชุมนุมเสื้อแดง – เสื้อเหลือง ต่อมาคนเสื้อแดงก็ตัดสินใจจะทวงคืนพื้นที่ราชประสงค์ด้วยการจัดชุมนุม แล้วพ่นข้อความและภาพกราฟฟิตี้ เช่น ‘ไอ้เหี้ยสั่งฆ่า’ ‘ปลาวาฬอมเพชร’ และหนึ่งในข้อความที่เคยปรากฏในตอนนั้นด้วยก็คือ ‘เราไม่เอา 112’
อย่างไรก็ตาม เหตุการณ์ที่ยกขึ้นมาก็เป็นเพียงบางส่วนของหน้าประวัติศาสตร์การประท้วงที่ใช้กราฟฟิตี้เป็นเครื่องมือในการแสดงออกเท่านั้น
อ้างอิงจาก