จะเป็นอย่างไร ถ้าหากประชาชนก็ไม่สามารถวิจารณ์นโยบายของพรรคการเมืองหรือการทำงานของรัฐบาลได้?
เมื่อวันที่ 4 เมษายน ที่ผ่านมา พรรคภูมิใจ มอบอำนาจให้ศุภชัย ใจสมุทร ส.ส.จากพรรคภูมิใจไทย ให้ยื่นคำฟ้อง ชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ ในข้อหากระทำละเมิดต่อพรรคภูมิใจไทยในการ ‘แพร่ข่าว ไขข่าว ฝ่าฝืนต่อความเป็นจริงทำให้พรรคเสียหาย’ อีกทั้งยังยื่นคำร้องขอคุ้มครองชั่วคราว ห้ามชูวิทย์กล่าวบิดเบือนกับพรรคภูมิใจไทยอีก ซึ่งหลังจากคณะตุลาการเห็นว่า คำร้องเป็นการร้องที่อาจส่งผลกระทบต่อเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นตามรัฐธรรมนูญ มีคำสั่งให้ยกคำร้องไปครั้งหนึ่งแล้ว
ทำให้ต่อมา เมื่อวานนี้ (5 เมษายน) พรรคภูมิใจไทยจึงไปยื่นขอไต่สวนฉุกเฉิน ซึ่งศาลแพ่งก็วินิจฉัยว่า การที่ชูวิทย์ประกาศข้อเท็จจริงต่างๆ เช่นข้อความ ‘ไม่เอาภูมิใจไทย ไม่เอาพรรคบ้ากัญชา’ ‘พรรคขายกัญชา เยาวชนติดกัญชาเพราะมึง’ เป็นการประกาศเพื่อให้ประชาชนทั่วไปเข้าใจว่าพรรคภูมิใจไทยมีนโยบายที่ไม่เป็นประโยชน์ต่อประชาชน และสมาชิกในพรรคภูมิใจไทยก็ไม่สมควรได้รับเลือกเป็น ส.ส. โดยข้อเท็จจริงเหล่านี้ ยังไม่ได้พิสูจน์ว่าเป็นความจริงหรือไม่ จึงเป็นการทำซ้ำและกระทำต่อไปตามที่พรรคภูมิใจไทยฟ้องชูวิทย์ในข้อหากระทำละเมิด
“แม้จําเลย [ชูวิทย์] จะมีเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น การพูด การเขียน การพิมพ์ การโฆษณา และการสื่อความหมาย แต่การกระทำดังกล่าวต้องไม่เป็นการละเมิดสิทธิหรือเสรีภาพของบุคคลอื่นตามกฎหมาย”
ทางด้านชูวิทย์ก็ออกมาตอบโต้ในกรณีนี้ว่า “ผมขอยืนยันว่า เป็นสิทธิอันชอบธรรมของประชาชนในการต่อต้านกัญชาที่ไร้กฎเกณฑ์ควบคุม การปลดล็อกกัญชาออกจากบัญชียาเสพติด เกิดจากพรรคภูมิใจไทย โดยนายอนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรค และ รมว.สาธารณสุข การต่อต้านจะดำเนินการต่อไป ไม่มีวันถอย แม้จะนำกฎหมายมาปิดปากผม”
หลังจากที่ชูวิทย์โดนหมายศาลสั่งห้ามพูดถึงเรื่องกัญชาของพรรคภูมิใจไทยแล้ว ก็เกิดคำถามตามมามากมายว่า แล้วอย่างนี้ ประชาชนยังสามารถวิจารณ์นโยบายกัญชาของพรรคภูมิใจไทยได้อยู่ไหม ทำไมประชาชนถึงไม่มีสิทธิ์ตั้งคำถามถึงนโยบายของพรรคร่วมรัฐบาล กรณีดังกล่าวถือเป็นการใช้ช่องว่างทางกฎหมายสั่งปิดปากประชาชนหรือไม่?
ทั้งนี้ หากมองในมุมที่ว่าประชาชนสามารถวิจารณ์การทำงานของรัฐบาลได้หรือไม่ ประเด็นนี้ก็เป็นประเด็นที่ พรสันต์ เลี้ยงบุญเลิศชัย อาจารย์จากคณะนิติศาสตร์ จุฬาฯ เคยแสดงความเห็นเอาไว้เมื่อวันที่ 21 กรกฎาคม 2564 ว่า เสรีภาพในการแสดงความนั้นนับเป็นเสรีภาพขั้นพื้นฐานของประชาชนทุกคน ตามที่รัฐธรรมนูญรับรองและคุ้มครอง หากเขามีความคิดความเห็นอย่างไรต่อการปฏิบัติหน้าที่ของรัฐบาล หรือแม้แต่ รมว. เอง ตราบเท่าที่ไม่ได้ไปด่าทออย่างไม่มีเหตุมีผล ประชาชนย่อมมีเสรีภาพที่ทำได้ สอดคล้องกับหลักการในทางกฎหมายอาญาที่รับรองว่า ประชาชนมีเสรีภาพในการแสดงความคิดได้โดยไม่ถือว่าเป็นความผิดหากเป็นการติชมอย่างสุจริต
พรสันต์ ยังระบุอีกว่า รัฐบาลเป็นองค์กรของรัฐ หรือเจ้าหน้าที่รัฐที่เข้ามาทำหน้าที่ในฐานะผู้แทนของประชาชน ไม่ใช่องค์กรเอกชนทั่วๆ ไป การที่ประชาชนแสดงความคิดความเห็นจึงเป็นกรณีที่เจ้าของอำนาจอธิปไตย กำลังตรวจสอบการทำงานของรัฐบาล รัฐบาลจึงมีหน้าที่รับฟังการแสดงความคิดเห็น หรือวิพากษ์วิจารณ์ต่างๆ ของประชาชน
นอกจากนี้ ในกรณีที่การวิพากษ์วิจารณ์ของประชาชนไม่ตรงกับความเป็นจริง พรสันต์ระบุว่า รัฐบาลก็ต้องชี้แจงข้อเท็จจริงให้ประชาชนเข้าใจ ไม่ใช่ดำเนินการฟ้องร้องทางกฎหมาย ซึ่งกรณีเช่นนี้ ศาลสิทธิมนุษยชนยุโรป (European Court of Human Rights) ที่ก็เคยวินิจฉัยกรณีรัฐบาลฟ้องเอกชนไว้อย่างชัดเจนว่า “องค์กรของรัฐ โดยเฉพาะอย่างยิ่งองค์กรที่มาจากการเลือกตั้งนั้น ควรต้องปฏิบัติหน้าที่ของตนบนความอดทนอดกลั้นต่อการถูกวิพากษ์วิจารณ์ที่สูงกว่าองค์กรอื่นๆ”
อย่างไรก็ตาม ทางด้านวันวิชิต บุญโปร่ง อาจารย์คณะรัฐศาสตร์ ม.รังสิต มองว่า การที่ชูวิทย์ออกมาโจมตีพรรคภูมิใจไทย ในประเด็นกัญชา น่าจะเป็นการหวังผลทางการเมืองแน่นอน เพราะมันเป็นประเด็นที่หลายฝ่ายออกมาเคลื่อนไหวตั้งนานแล้ว การที่ชูวิทย์เพิ่งออกมาเคลื่อนไหวเรื่องกัญชาในตอนนี้คงมองเป็นอย่างอื่นได้ยาก
อ้างอิงจาก