นับเป็นประเด็นร้อนที่เกิดขึ้นเมื่อวานนี้ (8 เมษายน 2566) แพรรี่–ไพรวัลย์ วรรณบุตร ไลฟ์บนเฟซบุ๊กส่วนตัวกลางดึก หลัง ลีน่า จัง–ลีนา จังจรรจา ดึงวิกผมจนหลุด ระหว่างถ่ายทำรายการหนึ่งของมดดำ–คชาภา ตันเจริญ พิธีกรชื่อดัง โดยแพรี่กล่าวว่า “อย่าทำนิสัยต่ำแบบนี้ ไม่ว่ากับใคร” และไม่ขอร่วมงานกับ ลีน่า จัง หลังแสดงพฤติกรรมไม่เหมาะสมด้วยการกระชากวิกกลางรายการอีก
โดยตลอดมาทั้งคู่ไม่ค่อยจะลงรอยกันมาโดยตลอด เพราะลีน่า จัง มักจะบูลลี่แพรรี่อยู่บ่อยครั้ง แต่ทั้งคู่ต่างคืนดีกันในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมา อย่างไรก็ตาม ในบางช่วงของไลฟ์ แพรี่ระบุว่า “วันนี้ได้รับเชิญไปออกรายการพี่มดดำ โดยไม่รู้ว่า ลีน่า จังจะมาถ่ายรายการด้วย ซึ่งไม่คิดว่าจะมีปัญหาอะไรกับคนอย่างลีน่าจังอีก แต่วันนี้ทนไม่ได้ อยู่ดีๆ มากระชากวิกเรา ถือเป็นการหมิ่นศักดิ์ศรี คุณมีสิทธิ์อะไรมาดึงวิกดิฉัน ดิฉันทำงานอยู่”
ไม่เพียงเท่านี้ แพรรี่ยังระบุว่า “เรื่องการให้เกียรติและเคารพคนอื่น มันเป็นมารยาทพื้นฐาน ไม่มีใครตลกกับการที่ตัวเองถูกทำให้อับอายต่อหน้าสาธารณชน…ไม่ว่ากับใครควรให้เกียรติเขา โดยเฉพาะคนที่เป็น LGBTQAI+ พวกเขามีหัวใจ ทุกคนมีความรู้สึก ดิฉันยินยอมให้คุณกระชากวิกดิฉันหรือเปล่า? ดิฉันไม่มีทางให้อภัยคุณแล้ว คุณกับดิฉันไม่มีทางร่วมงานกันอีก”
“คุณไม่มีสิทธิละเมิดความเป็นตัวตนของคนอื่น อันนี้มันต่ำเกินที่จะให้อภัย มันทรามเกินไป เลิกทำนิสัยแบบนี้ การดึงวิกมันคือการเหยียดหยาม ขอให้เป็นเคสสุดท้าย กลับไปทบทวนพฤติกรรม สันดานของตัวเองได้แล้วนะคะ มันไม่ใช่แค่นิสัยแล้วค่ะ เพราะนิสัยมันเบาไป” แพรรี่กล่าวปิดท้าย
หลังจากนั้นประเด็นนี้ก็กลายมาเป็นกระแสหนักเพราะหลายคนมองว่า การกระชากวิกผมถือเป็นการบูลลี่และการเหยียดเพศ เพราะสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ LGBTQAI+ มักตกเป็นเหยื่อของการบูลลี่ ก็คือ ‘ความแตกต่าง’ เพราะแม้ว่าคนส่วนใหญ่จะบอกว่าเราอยู่ในสังคมที่เคารพความแตกต่าง แต่ในทางปฏิบัติแล้ว การบูลลี่ก็ยังเกิดขึ้นอยู่ทุกวัน
ยิ่งกว่านั้น พฤติกรรมเหล่านี้ยังสะท้อนถึงอคติกับผู้มีอัตลักษณ์ทางเพศหลากหลายด้วย ซึ่งนอกจากอคติเหล่านี้แล้ว ยังมีพฤติกรรมไม่ยอมรับตัวตน และการทำร้ายร่างกาย กลั่นแกล้ง ล้อเลียน LGBTQIA+ อีกด้วย
นอกจากนี้ ‘รายงานสรุปเกี่ยวกับการรังแกด้วยเหตุแห่งเพศภาวะและเพศวิถี ประเทศไทยเป็นมิตรต่อ LGBTQAI+ จริงหรือ?’ โดยมหาวิทยาลัยมหิดล ระบุว่า การทำให้กลุ่ม LGBTQIA+ อับอาย สามารถสร้างบาดแผลใจในของพวกเขาได้ ซึ่งสาเหตุอาจมาจากแรงกดทับของสังคม
โดยเฉพาะสังคมไทยที่เป็นสังคมปิตาธิปไตย ทำให้สิ่งใดที่แตกต่างไปจากการเป็น ‘ลูกผู้ชาย’ หรือแตกต่างไปจากบรรทัดฐานของสังคม มักถูกมองว่าเป็นความบกพร่องไม่สมบูรณ์แบบ ยิ่งเป็นปัจจัยที่ทำให้อคติทางเพศฝังลึกในสังคม
อ้างอิงจาก