“ไม่ใช่แค่ก้าวไกลชนะทั้ง 3 เขตของภูเก็ต แต่ภาคใต้ที่มี 60 เขต คะแนนบัญชีรายชื่อของก้าวไกลเป็นอันดับ 1 ถึง 25 เขต ยังไม่นับที่เป็นอันดับ 2 อย่างในสามจังหวัดที่มี 13 เขตก็กวาดทั้งหมด บ่งบอกว่าภาคใต้ก็อยู่ในกระแสความเปลี่ยนแปลงครั้งนี้แล้ว”
บรรดาเซียนถึงกับต้องซื้อปากใหม่! หลังผลการเลือกตั้ง ส.ส. ภูเก็ต ออกมาเซอร์ไพรส์ส้มทั้งเกาะกวาดเก้าอี้ทั้ง 3 เขตเลือกตั้ง ท่ามกลางผู้มาใช้สิทธิเกินกว่า 70% ทุกพื้นที่ ส่งให้พรรคก้าวไกลสามารถปักธงในภาคใต้ได้เป็นจังหวัดแรก
คงไม่อาจปฏิเสธว่า ที่ผ่านมา จ.ภูเก็ต ถือเป็นหนึ่งฐานเสียงของพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) หลังความนิยมของประชาธิปัตย์ถดถอย สะท้อนผ่านผลการเลือกตั้งครั้งปี 2562 ที่คว้าชัยไปได้ทั้ง 2 เขตการเลือกตั้งเดิม แต่ครั้งนี้เมื่อมีขยายเขตการเลือกตั้งเพิ่ม แถมมีผู้สมัครหน้าใหม่เกิดขึ้นในหลายพรรค ก็ผลักให้เจ้าของเก้าอี้เดิมหลุด อย่าง นันธี ถิ่นสาคู อดีต ส.ส. จากพปชร.
ปัจจัยอะไรที่นำชัยชนะมาให้ก้าวไกลใน จ.ภูเก็ต? The MATTER ถือโอกาสคุยกับ บูฆอรี ยีหมะ อาจารย์คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ ม.ราชภัฏสงขลา ถึงข้อสงสัยนี้ พร้อมวิเคราะห์ความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นกับพื้นที่ภาคใต้
ในฐานะนักวิชาการที่เกาะติดพื้นที่ อ.บูฆอรี เคยคาดเดาว่า เขตเลือกตั้งในภาคใต้ที่พรรคก้าวไกลมีโอกาสปักธงได้ คือ เขตเลือกตั้งที่ 2 อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา เนื่องจากในการเลือกตั้งปี 62 ผู้สมัครของพรรคอนาคตเคยได้รับเสียงเกือบ 20,000 คะแนน แต่เมื่อผลการเลือกตั้งครั้งนี้ออกมาจึงเป็นสิ่งที่เหนือความคาดหมาย
เจ็บหนักจากโควิด
ย้อนไปในการเลือกตั้งครั้งปี 62 อ.บูฆอรี ให้ความเห็นว่า การมอบเสียงให้กับ พปชร. ของคนภูเก็ตอยู่บนพื้นฐานวิธีคิดว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ซึ่งเป็นหัวหน้าพรรคในเวลานั้น หากได้จัดตั้งรัฐบาลน่าจะช่วยแก้ปัญหาอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวที่ซบเซาได้ แต่แล้วผลลัพธ์ไม่ได้เป็นไปดังคาด ทำให้ประชาชนได้รับผลกระทบถ้วนหน้า ตั้งแต่ระดับอีลิดเจ้าของธุรกิจใหญ่ ตลอดจนถึงพ่อค้าแม่ค้า ลูกจ้างรายวัน
“ภูเก็ตได้รับผลกระทบอย่างมากจากโควิด เขาเจ็บหนักมาก เพราะเศรษฐกิจหลักพึ่งพาธุรกิจการท่องเที่ยว โดยเฉพาะเมื่อเทียบกับจังหวัดอื่นในภาคใต้ ที่ยังมีรายได้จากการทำสวนยาง หรือปาล์มน้ำมัน”
แม้ว่ารัฐบาลตอนนั้นจะเปิดโครงการภูเก็ตแซนด์บ็อกซ์ แต่ก็พยุงผู้ประกอบการได้เพียงบางส่วน “ถึงได้เกิดกระแสความรู้สึก ว่ารัฐบาลเดิมแก้ปัญหาไม่ได้ จากที่เคยเลือก พปชร. ก็เลยหันมาเลือกพรรคอื่น”
สอดคล้องกับความเห็นของ 2 ว่าที่ ส.ส. ของพรรคก้าวไกล อย่างฐิติกันต์ ฐิติพฤฒิกุล และเฉลิมพงศ์ แสงดี ที่เล่าให้The MATTER ฟังว่านี่นับเป็นปัจจัยแรกที่ชาวภูเก็ต ยอมเทคะแนนให้พวกเขา ซึ่งมากเกินกว่าที่พวกเขาเคยประเมินไว้ราว 4,000 – 5,000 คะแนน ในแต่ละเขตเลือกตั้ง
21,913 คะแนน ที่ โค้ชแซม-เฉลิมพงศ์ ว่าที่ ส.ส.ภูเก็ต เขต 2 ดูไม่ใช่เรื่องโชคช่วยอย่างที่หลายคนให้ความเห็น แต่มาจากการลงพื้นที่จนชาวบ้านอยากมอบโอกาสให้ ประกอบกับผู้มาใช้สิทธิคึกคักกว่าที่คาด ตามคำบอกเล่าของเฉลิมพงศ์
เช่นเดียวกับ กันต์- ฐิติกันต์ ว่าที่ ส.ส.ภูเก็ต เขต 3 ที่ใครต่างบอกว่าเป็นคนหนุ่มเลือดใหม่ แต่ย้อนไปเขาคือหนึ่งในผู้ร่วมก่อตั้งพรรคอนาคตใหม่ และคอยช่วยดูแลพื้นที่ภูเก็ตให้กับพรรคก้าวไกลมาอย่างต่อเนื่อง จนนำมาซึ่ง 20,421 คะแนน
กระแสด้อมส้มฟีเวอร์
ปัจจัยต่อมา อ.บูฆอรี มองว่า ความนิยมในตัวพรรคก้าวไกลที่เกิดขึ้นทั่วประเทศ ไม่เว้น จ.ภูเก็ต ทั้งที่ผู้สมัครของพรรคอาจไม่ได้มีความสัมพันธ์กับบ้านใหญ่ ไม่ได้มีเครือข่ายการเมืองท้องถิ่น จะว่าเป็นผู้สมัครโนเนมก็ไม่ผิด ซึ่งลักษณะเช่นนี้เกิดขึ้นในอีกหลายจังหวัดในภาคใต้
“พรรคมาเปิดเวทีปราศรัยหลายครั้งในภูเก็ต มันช่วยสร้างกระแสให้คนรู้สึกว่า พรรคนี้แหละจะมาช่วยฟื้นเศรษฐกิจภูเก็ต ทำให้เกิดปรากฏการณ์สีส้ม ได้รับคะแนนเป็นอันดับหนึ่งทั้งแบบแบ่งเขต และบัญชีรายชื่อ ไปทั้ง 3 เขตการเลือกตั้ง”
“พูดถึงการกระจายอำนาจให้กับท้องถิ่น ที่จะทำให้ภูเก็ตมีการปกครองท้องถิ่นรูปแบบพิเศษ เช่นเดียวกับกทม. ซึ่งน่าจะเป็นแนวทางที่เหมาะสมสำหรับฟื้นฟูภูเก็ตได้ ทำให้พรรคก้าวไกลชนะเลือกตั้งอย่างไม่คาดคิด”
ตัวอย่างของผู้มีสิทธิเลือกตั้งชาวภูเก็ตรายหนึ่ง ซึ่งเป็นผู้มีสิทธิเลือกตั้งครั้งแรก ระบุว่า ด้วยเหตุผลที่มาศึกษาต่อ และทำงานใน กทม. จึงไม่ได้มีปฏิสัมพันธ์กับพื้นที่มากนัก ดังนั้นการตัดสินใจลงคะแนนจึงเกิดจากการศึกษานโยบายที่พรรค และติดตามข่าวสารประชาสัมพันธ์ประกอบการตัดสินใจเท่านั้น
สอดคล้องกับความเห็นของฐิติกันต์ “ตอนท้ายที่คุณทิมมาปราศรัยที่ภูเก็ต คนมาสนับสนุน และมาฟังการปราศรัยเยอะ ทำให้คนที่ยังลังเลเริ่มเห็นว่าเรามีโอกาสชนะ หลายคนถึงมาเทเลือกก้าวไกลให้ลองได้ทำงานสักครั้ง แล้วเขาจะรอตามว่าทำได้อย่างที่พูดไหม โดยเฉพาะบรรดาผู้สูงอายุ”
คว้าชัยด้วยนโยบายเลือกตั้งผู้ว่าฯ ทุกจังหวัด
“จุดแข่งที่ทำให้เราชนะการเลือกตั้งครั้งนี้ยกทั้งจังหวัด คือนโยบายการกระจายอำนาจรัฐ” เป็นคำยืนยันที่ชัดเจนของ เฉลิมพงศ์ ด้วยมองว่า ปัจจุบัน จ.ภูเก็ต มีความเป็นสังคมเมืองที่ต้องการยกระดับให้เป็นเมืองท่องเที่ยวระดับโลกอย่างแท้จริง
“ช่วงโควิดผู้ว่าฯ ไม่มีอำนาจในการสั่งปิดเมือง ต้องทำหนังสือขอ จนเราไม่สามารถบริหารภายใน แถมตอนภูเก็ตแซนด์บ็อกซ์ก็เกิดจากภาคเอกชนของภูเก็ตที่เสนอไปยังรัฐบาล ไม่ได้เกิดส่วนกลาง คนภูเก็ตถึงเห็นว่าเราควรคิดเอง ทำเอง”
ไม่ต่างกัน ฐิติกันต์ ระบุ การที่ชาวภูเก็ตหลายคนเฝ้ารอการเลือกตั้งผู้ว่าฯ มาเกือบทั้งชีวิต ตามที่หลายพรรคการเมืองหาเสียงไว้ จึงยิ่งทำให้ผู้สูงอายุตัดสินใจเลือกก้าวไกล “บางคนพูดว่าวาระสุดท้ายของเขาแล้ว อยากเห็นความเปลี่ยนแปลงในภูเก็ต เขาเจ็บช้ำกันมาเยอะ”
สำหรับนโยบายจัดการตัวเองของพรรคก้าวไกล มีข้อเสนออย่างจัดให้มีประชามติภายใน 1 ปี เพื่อถามความเห็นชอบ หากมีการยกเลิกผู้ว่าฯ แต่งตั้ง เพื่อปูทางไปสู่การเปลี่ยนโครงสร้างผู้บริหารจังหวัด
ด้าน อ.บูฆอรี อธิบายว่า ต่างประเทศใช้การปกครองท้องถิ่นรูปแบบพิเศษ โดยพิจารณาหลายกรณี อย่างพื้นที่ซึ่งมีการเติบโตทางการท่องเที่ยวสูง ก็จำเป็นต้องมีการปกครองเพื่อความคล่องตัว และการเพิ่มภารกิจที่ต่างออกไป ซึ่ง จ.ภูเก็ตก็ดูจะเข้าได้ด้วยเหตุผลนี้ รวมถึงกรณีการแก้ปัญหาความขัดแย้งที่อาจนำไปสู่การแยกดินแดน ซึ่งเกิดขึ้นในประเทศสเปน “เพิ่มความคล่องตัว เพิ่มงบประมาณที่สอดรับกับการพัฒนาพื้นที่ เพิ่มอำนาจให้มากขึ้นในการแก้ปัญหา”
แบ่งเค้กคะแนนขั้วรัฐบาลเดิม
ทั้งนี้เมื่อไปดูตัวละครอื่นของการเลือกตั้งในแต่ละเขต จะเห็นว่า พรรคที่มีคะแนนลำดับรองลงมา ทั้งรวมไทยสร้างชาติ พลังประชารัฐ ประชาธิปัตย์ ภูมิใจไทย รวมถึงชาติพัฒนากล้า ต่างมีคะแนนหลักพันบ้างก็แตะหมื่นทั้งสิ้น
“การแยกตัวของ รทสช. ออกจาก พปชร. มีส่วนอย่างสำคัญเลย ไปดูคะแนน พปชร. นับว่าน้อยผิดปกติทั้งที่เคยเป็นอดีต ส.ส.” อ.บูฆอรี ระบุ
อย่างไรก็ดี ตัวแปรที่จะลืมไปไม่ได้ของการเมืองภาคใต้ หนีไม่พ้นพรรคภูมิใจไทย “พวกเขาต้องการเพิ่มจำนวน ส.ส. ในโซนอันดามัน จากที่เคยประสบความสำเร็จในสตูล ปี 62 รอบนี้เขากวาดยกจังหวัด” ดังนั้น เมื่อจำนวนคู่แข่งที่แย่งชิงฐานคะแนนเดิมเพิ่มขึ้น จึงเป็นโอกาสให้พรรคก้าวไกลสามารถเบียดขึ้นมาช่วงชิงคะแนน
สะเทือนทั่วภาคใต้
นับตั้งแต่ผลการเลือกตั้งปรากฏ มีมที่ว่า ‘เรียกฉันว่าคนภูเก็ต’ ‘ภูเก็ตไม่ใช่ภาคใต้’ ถูกใช้เย้าแหย่กันในโลกออนไลน์ สืบเนื่องจากมีเพียง จ.ภูเก็ต ที่พรรคก้าวไกลสามารถคว้าเก้าอี้มาครองได้
อย่างไรก็ดี ดูเหมือน อ.บูฆอรี จะเห็นต่างออกไป ด้วยมองว่าทั่วทั้งภาคใต้ก็ล้วน “อยู่ในกระแสความเปลี่ยนแปลงครั้งนี้แล้ว คนขานรับกระแสเสรีนิยม และมีความก้าวหน้าแบบพรรคก้าวไกล”
โดยสะท้อนผ่านคะแนนแบบบัญชีรายชื่อ ของทั้งภาคใต้ที่มีอยู่ 60 เขตเลือกตั้ง พรรคก้าวไกลได้รับคะแนนเป็นอันดับ 1 ถึง 25 เขต ขณะเดียวกันครองอันดับ 2 ได้ในหลายพื้นที่ โดยเฉพาะในสามจังหวัดที่คว้ามาทั้งหมดทั้ง 13 เขตเลือกตั้ง “เพียงแต่ในภาคใต้อาจมีลักษณะบางอย่าง ที่ทำให้ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ทันที”
เหตุผลสำคัญ คือความพยายามในการรักษาฐานที่มั่นสุดท้ายของพรรคประชาธิปัตย์ ตลอดจนถึงการแข่งขันที่ดุเดือดของอีกหลายพรรคการเมือง จึงส่งผลให้การขยายฐานเสียงของพรรคก้าวไกลยังต้องใช้เวลามากกว่าในภาคอื่นๆ “โค้งสุดท้ายพรรคอื่นลงหาเสียง ยังบอกว่าเขตให้เลือกตัวเอง แต่พรรคเลือกตามใจท่านเลย”
จึงไม่น่าแปลกใจ ที่ก้าวไกลจะได้คะแนนเป็นกอบเป็นกำในศึกการเลือกตั้งภาคใต้คราวนี้