เชื่อว่าทุกคนคงรู้จัก ‘ไบเบิล’ ในฐานะคัมภีร์โบราณของศาสนาคริสต์ที่เล่าเรื่องราวเกี่ยวกับพระเจ้า มนุษย์ และความบาป แต่เมื่อไม่นานมานี้ นักวิจัยค้นพบบทหนึ่งของพระคัมภีร์ที่ถูกซ่อนอยู่ในข้อความอีกทีมานานกว่าพันปี
เมื่อต้นปีที่ผ่านมา กริกอรี เคสเซล (Grigory Kessel) นักประวัติศาสตร์จากสถาบันวิทยาศาสตร์แห่งออสเตรีย ประกาศการค้นพบในวารสารวิชาการ เคสเซลกล่าวว่า “การค้นพบในครั้งนี้ใช้วิธีการถ่ายภาพรังสีอัลตราไวโอเลต เพื่อดูข้อความที่ถูกซ่อนอยู่ภายใต้ข้อความ” ซึ่งแสดงให้เห็นว่ามีคนเขียนทับข้อความต้นฉบับอีกที
เขาระบุต่อว่า “ข้อความดังกล่าวถูกซ่อนอยู่ในบทที่ 12 ของหนังสือมัทธิว ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการแปลพระคัมภีร์จากภาษาซีเรียโบราณเมื่อประมาณ 1,500 ปีที่แล้ว ซึ่งคัมภีร์นี้อยู่ที่หอสมุดวาติกัน”
นักวิจัยอธิบายเสริมว่า คัมภีร์ไบเบิลเล่มนี้ได้รับการแก้ไขหลายครั้ง เพราะมีการปรากฎของข้อความที่ถูกเขียนทับกันถึง 3 ชั้น นอกจากนี้ คัมภีร์นี้อยู่ในรูปแบบพาลิมเซสต์ (Palimpsests) ซึ่งเป็นหนังสือโบราณที่จารึกบนแผ่นหนังที่มักถูกใช้ในสมัยโบราณ และโดยปกติแล้วจะมีการเขียนคำต่างๆ ลงบนเนื้อหาซ้ำๆ จนทับคำที่ซ่อนอยู่ข้างใต้หลายชั้น
ทั้งนี้ สำหรับขั้นตอนแรกสุดในการทำความเข้าใจพระคัมภีร์ของนักวิจัย คือการตรวจสอบวิวัฒนาการของข้อความในพระคัมภีร์ และทำให้เห็นความแตกต่างจากการแปลเปรียบเทียบกับต้นฉบับ เช่น ฉบับภาษากรีกดั้งเดิมของมัทธิว 12:1 ซึ่งเป็นฉบับที่ใช้บ่อยที่สุดในปัจจุบัน ระบุว่า “ครั้งนั้นพระเยซูเสด็จผ่านทุ่งนาในวันสะบาโต สาวกของพระองค์หิวจึงเด็ดรวงข้าวมากิน”
แต่การแปลจากภาษาซีเรียที่เพิ่งถูกค้นพบนั้นแตกต่างออกไปเล็กน้อยเท่านั้น โดยกล่าวว่า “…เริ่มหยิบรวงข้าวขยี้มือแล้วกิน” ทั้งนี้เคสเซลระบุว่า “การค้นพบครั้งนี้เปรียบเสมือนกับ ‘ประตูที่แตกต่าง’ ในการทำความเข้าใจขั้นตอนต่างๆ ของวิวัฒนาการของพระคัมภีร์”
อ้างอิงจาก